ไหม
เคยนำเสนอเรื่องการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพื่อขายตัวไหมสุกไปแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่าบริษัทที่รับซื้ออยู่ที่ไหน ดำเนินการกันอย่างไร และเขานำไปทำอะไรต่อ วันนี้จะได้เล่าในรายละเอียด บริษัทเอกชนที่จังหวัดพะเยาจับมือศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ น่าน ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงไหมขายตัวเป็นๆ โดยรับซื้อไปเดินเส้นไหมเองส่งออกไปขายที่ประเทศเกาหลี ซึ่งความต้องการของตลาดยังมีอีกมาก คุณสุมิตร ฮาวบุญมี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท NTGS จำกัด ตั้งโรงงานอยู่ที่ตำบลทุ่งรวงทอง อำเภอจุน จังหวัดพะเยา กล่าวว่า บริษัทจัดตั้งได้ยังไม่นานนัก ก่อนหน้านี้เป็นวิสาหกิจชุมชนเล็กๆ ทำงานเกี่ยวกับแผ่นใยไหม มีการไปแสดงสินค้าตามงานต่างๆ มีลูกค้าชาวต่างประเทศเข้ามาติดต่อโดยเฉพาะลูกค้าชาวเกาหลี เห็นว่าธุรกิจตัวนี้มีช่องทางที่จะเป็นไปได้ จึงมาศึกษาพื้นที่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในจังหวัดพะเยาและเชียงราย ซึ่งเกษตรกรทำเป็นอาชีพดั้งเดิมอยู่ก่อนนี้แล้วมากพอสมควร ประกอบกับประสานข้อมูลกับศูนย์วิจัยหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ น่าน จะเป็นผู้สนับสนุนทางวิชาการและผลิตไข่ไหมป้อนให้กับเกษตรกรในระยะแรก เห็นว่าสามาร
นางสุดารัตน์ วัชรคุปต์ เหล่าวิชยา อธิบดีกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพหม่อนไหมเพื่อผู้สูงอายุ โดยมีนายอรรถพร สิงห์วิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ร่วมเป็นเกียรติในลงพิธีลงนามฯ ณ ที่ทำการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านปลูกหม่อนเลี้ยงไหมพญาราม หมู่ที่ 9 ตำบลเพี้ยราม อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า กรมหม่อนไหม ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ได้มีนโยบายที่จะดำเนินการถ่ายทอดความรู้และส่งเสริมอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้แก่ผู้สูงอายุ จึงร่วมกับ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดทำ “โครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพหม่อนไหมเพื่อผู้สูงอายุ” ขึ้น เพื่อร่วมกันส่งเสริมอาชีพด้านปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การทอผ้า และการแปรรูปผลิตภัณฑ์หม่อนไหม โดยการสนับสนุน ส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ เพิ่มพูนทักษะ ให้ผู้สูงอายุให้สามารถสร้างรายได้และพึ่งพาต
“ผมทำธุรกิจเกี่ยวกับไหมอีรี่ ตั้งแต่การเลี้ยงไปจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ผ้าไหม สบู่ล้างหน้า สบู่เหลว แชมพูสระผม ครีมนวดผม และโลชั่นทาผิว ชื่อแบรนด์ “S and N Farm” อีกทั้งยังเปิดร้านขายสินค้าเกษตรด้วย” คุณสุเมธ มาสขาว ผู้ประกอบการหนุ่มวัย 26 ปี แจกแจงกิจการของเขา ซึ่งเพิ่งเริ่มธุรกิจยังไม่ถึงปี โดยเลี้ยงไหมอยู่ที่บ้านหนองพะโลน ตำบลทุ้งแต้ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ใช้เงินลงทุนประมาณ 300,000 บาท นับเป็นคนหนุ่มที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาโดยตรงในการประกอบอาชีพ ซึ่ง คุณสุเมธ มาสขาว นั้น จบปริญญาตรี สาขากีฏวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) และเพิ่งจบปริญญาโท สาขาและมหาวิทยาลัยเดียวกันในปีนี้เอง เจ้าตัวเล่าที่มาที่ไปของการมาทำธุรกิจไหมป่าอีรี่ว่า ตอนเรียนอยู่ปีที่ 3 ในระดับปริญญาตรี ได้ทำปัญหาพิเศษเกี่ยวกับไหมป่าอีรี่ ตอนแรกไม่รู้จักว่าไหมป่าอีรี่คืออะไร มีหน้าตาแบบไหน แล้วกินอะไร สามารถนำมาทำอะไรได้บ้าง แต่พอได้มาศึกษาอย่างจริงจังกับรู้ว่าไหมป่าอีรี่ตัวนี้มีประโยชน์หลายอย่างมาก ยกตัวอย่าง เส้นไหมนำมาทอเป็นผ้าไหม ขี้ไหมทำเป็นปุ๋ย ส
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ลงพื้นที่ติดตามโครงการธนาคารปัจจัยการผลิตด้านหม่อนไหม ปี 2560 เผย เกษตรกรในชุมชนตอบรับเป็นอย่างดี ช่วยให้เกษตรกรมีเส้นไหมใช้ในการผลิตผ้าไหมได้ตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่ไม่มีใบหม่อนเลี้ยงไหม โดยนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างรายได้เสริมอีกทาง นางสาวรังษิต ภู่ศิริภิญโญ รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงผลการติดตามการดำเนินงานโครงการธนาคารปัจจัยการผลิตด้านหม่อนไหม (เส้นไหม) ปี 2560 พบว่า ขณะนี้ธนาคารได้รับการสนับสนุนเส้นไหมไปแล้วจำนวน 416 กก. และเกษตรกรมีการยืมเส้นไหมจากธนาคารไปบ้างแล้ว โดยเกษตรกรมีต้นทุนในการทอผ้า เฉลี่ยเมตรละ 500 – 1,200 บาท ขึ้นอยู่กับลายผ้า (ไม่รวมค่าแรงในการทอ) และเกษตรกรสามารถจำหน่ายได้ในราคาเมตรละ 1,500 – 1,800 บาท สำหรับภาพรวม เกษตรกรพึงพอใจต่อนโยบายการสนับสนุนให้มีธนาคารในชุมชนในระดับมาก เนื่องจากช่วยให้เกษตรกรมีเส้นไหมใช้ในการผลิตผ้าไหมได้ตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่ไม่มีใบหม่อนเลี้ยงไหม และเส้นไหมมีราคาสูง ช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตผ้าไหมหรือนำผ้าที่ทอได้มาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้มากขึ้น ทำให้มีราย
ไหมอีรี่ (Samia ricini : Eri silk) เป็นพันธุ์ไหมกินใบมันสำปะหลัง โดยนำมาเลี้ยงเพื่อเอาเส้นใยไว้ทำประโยชน์ด้านการแปรรูปเป็นเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม เช่นเดียวกับไหมหม่อน วงจรชีวิตของไหมอีรี่ ไหมอีรี่ เป็นไหมป่าที่มีวงจรชีวิต 45-60 วัน เลี้ยงได้ 4-5 รุ่น ต่อปี ส่วนไข่ไหมฟักเองได้ ไม่ต้องอาศัยการฟักเทียม กินใบละหุ่งและใบมันสำปะหลังเป็นอาหาร ความนิยมในการเลี้ยงไหมอีรี่ ในประเทศไทย เกษตรกรยังนิยมเลี้ยงไหมอีรี่ไม่มากนัก ขณะที่จำนวนเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังเป็นอาชีพในไทยนั้น มีจำนวนถึง 570,000 ครัวเรือน มีพื้นที่เก็บเกี่ยวมันสำปะหลังกว่า 8.64 ล้านไร่ ซึ่งอาหารของไหมอีรี่ในไทยมีจำนวนมากก็จริง แต่สัดส่วนของเกษตรกรผู้เลี้ยงไหมอีรี่ยังน้อยมาก ทาง สกว. จึงร่วมกับศูนย์หม่อนไหม ในการให้ความรู้ และขยายพื้นที่การเลี้ยงไหมอีรี่ให้มากขึ้น ทั้งการให้สายพันธุ์หนอน และความรู้ในการเลี้ยง เพื่อนำไปสู่ผลผลิต ความยาก-ง่าย การเลี้ยงไหมอีรี่ สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังอยู่แล้ว จะสามารถมีรายได้เพิ่มเติมจากการเลี้ยง “ไหมอีรี่” ได้ เพราะไหมอีรี่กินใบมันสำปะหลังเป็นอาหาร และใบละหุ่ง ซึ่งสามารถปลูกต้นละหุ่งเสริมใ
ชื่อสามัญ : mulberry ชื่อวิทยาศาสตร์ : Morus alba วงศ์ : Moraceae หม่อน เป็นพืชอาหารชนิดเดียวของตัวไหม คุณภาพและปริมาณของเส้นใยที่ได้จากไหม ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพอาหาร คือ ใบหม่อน เท่านั้นจึงนับได้ว่า ใบหม่อนคือหัวใจหลักของการผลิตเส้นใยไหมนั่นเอง ใบหม่อน จึงกล่าวได้อีกว่าเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญยิ่งของเส้นทางวัฒนธรรมสายไหมของเอเชีย ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : หม่อน เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ ลำต้นมีเปลือกสีเทาจุดน้ำตาล แตกกิ่งกระโดงง่ายมาก เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกประเภท ใบออกเรียงสลับกันบริเวณข้อ ผิวใบสากคายมือ ดอกเป็นกระจุกเล็กๆ สีขาวอมเหลือง ผลเป็นผลรวมประกอบด้วยรังไข่เล็กๆ หลายอัน รวมกันเป็น 1 ผล รสชาติอร่อยมาก อมหวาน อมเปรี้ยว เป็นผลไม้ประจำอีกชนิดหนึ่งสมัยที่ผู้เขียนยังเด็ก วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ อยู่ในแปลงหม่อนของวิทยาลัยเกษตรกรรมสุรินทร์ เล่นไปกินไป จนปากคอกลายเป็นสีม่วงกันถ้วนหน้าทุกคน พอเหนื่อยก็ไปนั่งพักดู ป้าบล คนงานของพ่อ สาวไหม ประจบขอดักแด้มาโรยเกลือป่นหม่ำกันอีก เป็นความทรงจำที่ติดตาไม่ลืมเลือน ชีวิตวัยเด็กในเกษตรสุรินทร์ให้อะไรกับผู้เขียนมากมายเหลือเกิน สรรพคุณ และการใช้ประโยชน์ : ใน
ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผอ.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และ ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาการแทนอธิการบดี ม.เกษตรศาสตร์ ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ “ศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการด้านไหม ระยะที่ 3” ณ อาคารสารนิเทศ ม.เกษตรศาสตร์ เพื่อสนับสนุนให้มีการพัฒนางานวิจัย ขับเคลื่อนไหมอีรี่สู่อุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรมและเต็มรูปแบบ รวมถึงเพิ่มมูลค่าสินค้าจากไหมอีรี่สู่สากลมากขึ้น ผศ.ดร.อุไรวรรณ นิลเพ็ชร์ ผอ.ศูนย์วิทยาการและเทคโนโลยีด้านไหม ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการในระยะที่ 1 เรื่อยมาจนถึงระยะที่ 2 (2546 – 2558) ที่มีต่อภาคเกษตรกรรมว่า ทางศูนย์ได้ดำเนินการวิจัย พัฒนาระบบฟาร์มเลี้ยงไหมอีรี่โดยใช้เทคโนโลยีสะอาด พัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์สิ่งทอจากไหมอีรี่และการสร้างแบรนด์ จัดกิจกรรมอบรมถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร ผลิตนักวิจัย และบุคากรที่เชี่ยวชาญด้านไหมอีรี่ โดยผลจากการพัฒนากระบวนการผลิตไหมอีรี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้มีการผลักดันไปสู่การปฏิบัติจริงของกลุ่มเกษตรกรที่เข้มแข็งกว่า 44 เครือข่าย 450 ครัวเรือน ครอบคลุม 28 จังหวัดในทุกภูมิภาค เกษตรกรสามารถผล
เผยผลงานวิจัย 4 ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อสุขภาพผิว ระดับพรีเมี่ยม ผลิตจากน้ำมันดักแด้ไหมและไฟโบรอินไฮโดรไลเสท กันแดดได้สุดยอด หวังส่งเสริมเอกชนต่อยอดผลิตเชิงการค้า คุณสมหญิง ชูประยูร ผู้เชี่ยวชาญด้านส่งเสริมการผลิตและจัดการการผลิตหม่อนไหม กรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า กรมหม่อนไหม และสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ร่วมกันศึกษาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านและพันธุ์ไทยลูกผสมจากน้ำมันดักแด้ไหมและไฟโบรอินไฮโดรไลเสท โดยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อสุขภาพผิว จำนวน 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ โลชั่นบำรุงผิว ครีมบำรุงผิวหน้ากลางคืน หรือไนท์ครีม (Night Cream) ครีมบำรุงมือ และลิปกลอส ซึ่งได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว ถือเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางระดับพรีเมี่ยม ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใหม่ 4 ชนิด มีจุดเด่น คือ สามารถดูดซับน้ำ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น บำรุงผิวพรรณให้นุ่มขึ้น เนียนเรียบ ชะลอการเกิดรอยเหี่ยวย่น ช่วยปรับสภาพผิวและลดปัญหาหมองคล้ำของผิวได้ คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดคือ คุณภาพการกันแดด เครื่อง
กรมหม่อนไหมร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศึกษาวิจัยสารสกัดจากดักแด้ไหม พบสารสำคัญมีฤทธิ์เทียบเท่าสารซิลเดนาฟิล(Sildenafil)หรือไวอากร้า มีส่วนช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน และช่วยการทำงานของสมอง นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า จากการร่วมมือศึกษาวิจัยดักแด้ไหม โดยนายวิโรจน์ แก้วเรือง ผู้เชี่ยวชาญกรมหม่อนไหมและคณะ ร่วมกับ ผศ.ดร.สมชาย จอมดวง อาจารย์คณะอุตสาหกรรมเกษตร รศ.ดร.ปรัชญา วงศ์ทวีเลิศ และดร.ณัฐชัย ดวงนิล อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีการต่อยอดศึกษาสารสกัดในดักแด้ไหมที่มีฤทธิ์ต่อร่างกาย โดยได้นำดักแด้ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน 2 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์นางน้อยศรีสะเกษ -1 และพันธุ์เหลืองสุรินทร์ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย เข้าสู่กระบวนการสกัด และหลังจากตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการแล้ว พบว่า ดักแด้หนอนไหมทั้งตัวผู้และตัวเมียมีฤทธิ์เทียบเท่าสารซิลเดนาฟิล(Sildenafil) หรือไวอากร้า ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดเลือดเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น โดยเฉพาะในเพศชาย และช่วยเสริมสมรรถนะทางเพศด้วย นอกจากนั้น ดักแด้ไหมยังมีคุณค่าทางอาหารสูง เช่นโปรตีน เกลือ