เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
News

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพ.ย. เพิ่มขึ้นทุกตัว สูงสุดรอบ 33 เดือน มั่นใจเศรษฐกิจปี’61 ดี

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ย. เพิ่มขึ้นทุกตัว สูงสุดรอบ 33 เดือน มั่นใจเศรษฐกิจปี61 ดี อนาคตสดใส ดันดัชนีความสุขล้น 80.5

นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนพฤศจิกายน 2560 ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยดัชนีเทียบเดือนตุลาคม 2560 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 78 จาก 76.7 สูงสุดในรอบ 33 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2558 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 52.8 จาก 52 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคต เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 88.8 จาก 87.2 ซึ่งสูงสุดในรอบ 55 เดือน นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2556 สะท้อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 65.2 จาก 64.1 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำ เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 72.7 จาก 71.4 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 96.1 จาก 94.4 สูงสุดในรอบ 34 เดือน นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 สะท้อนว่าผู้บริโภคเห็นว่ารายได้ของตนใน 6 เดือนข้างหน้าจะปรับเข้าสู่ระดับปกติได้ที่ระดับ 100 ซึ่งคาดว่าจะเป็นในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า ตามแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น และไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเข้ามา

นายธนวรรธน์กล่าวว่า ดัชนีทุกตัวที่เพิ่มขึ้น ได้รับอานิสงส์สำคัญจากมาตรการช้อปช่วยชาติ ที่หมุนเศรษฐกิจให้คึกคัก โดยเฉพาะการจับจ่ายของชนชั้นกลาง และมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งคนฐานรากได้ประโยชน์ ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยรวมถึงการส่งออกดีเกินคาด ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ดีขึ้นเป็นลำดับและเป็นขาขึ้น และเมื่อรัฐบาลมีนโยบายเน้นเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มรายได้ให้ประชาชนที่รายได้ไม่สูง และแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรดึงราคาให้ขึ้นได้ จะส่งผลให้บรรยากาศจับจ่ายช่วงปีใหม่คึกคัก เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยภาคเอกชนสมาชิกหอการค้าาไทยส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในไตรมาส 2 ปีหน้า อย่างไรก็ตามดัชนีฯในเดือนพฤศจิกายนอาจสูงกว่านี้ได้แต่ยังติดที่มีปัจจัยลบเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรส่วนใหญ่ยังทรงตัวในระดับต่ำ และสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่

“อย่างไรก็ตามระดับดัชนียังไม่เข้าสู่ภาวะปกติที่ระดับ 100 สะท้อนประชาชนยังระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย แต่ก็คลายความกังวลลง ทางศูนย์พยากรณ์จึงได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้เป็น 4% ซึ่งเป็นไปได้สูง จากเดิมคาดไว้ที่ 3.9% เนื่องจากมีเงินเติมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 นี้ ทั้งเงินจากมาตรการช้อปช่วยชาติ ที่จะมีเงินสะพัดในระบบ 1.5 หมื่นล้านบาท และเงินจากบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยของแต่ละเดือนในไตรมาสสุดท้ายนี้รวม 1.5 หมื่นล้านบาท รวมแล้วมี 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะดันให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มอีก 0.2-0.3% คาดทำให้ในไตรมาส 4 ขยายตัวเป็น 4.6-4.7% จากเดิมที่ 4.5% รวมกับส่งออกปีนี้คาดขยายตัวที่ 8.5%”

นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า ส่วนปีหน้า เศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัวแตะ 4.5% จากที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินอัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมากรวมประมาณ 5-6 แสนล้านบาท ซึ่งมาจากทั้งการส่งออก คาดขยายตัว 5% และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง และหากภาครัฐขับเคลื่อนการลงทุนและใช้จ่ายงบประมาณได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) การเคลียร์งบค้างท่อลงสู่ท้องถิ่น มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และการใช้จ่ายจากกิจกรรมทางการเมืองรับเลือกตั้งในปีหน้า

นายธนวรรธน์กล่าวว่า ส่วนปัจจัยที่ภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ส่งออกยังมีความกังวล คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อยู่ที่ระดับ 32.5-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งผู้ส่งออกมองแข็งค่าเกินไป กระทบกับการส่งออก ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยควรดูแลค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับภูมิภาคและประเทศคู่แข่ง รับมือกับเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาลงทุนอีก หากรักษาให้อยู่ระดับ 33-33.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐได้ จะเป็นประโยชน์กับการส่งออก

นายธนวรรธน์กล่าวว่า สำหรับดัชนีด้านอื่นๆ เทียบเดือนตุลาคม 2560 ปรับเพิ่มขึ้นทุกตัว ได้แก่ ความเหมาะสมการซื้อรถยนต์คันใหม่อยู่ที่ระดับ 80.5 จากระดับ 77 ดัชนีความเหมาะสมในการซื้อบ้านหลังใหม่ อยู่ที่ 60.7 จาก 58 ดัชนีความเหมาะสมในการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 64.5 จาก 60.9 ดัชนีความเหมาะสมในการลงทุนทำธุรกิจของเอสเอ็มอีอยู่ที่ 44 จาก 42 ดัชนีวัดความสุขในการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 80.5 จาก 78.4 ดัชนีภาวะค่าครองชีพที่ระดับ 69.9 จาก 67.4 ดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดอยู่ที่ระดับ 66.7 จาก 64 และดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 90.8 จาก 87.7

 

ที่มา : มติชนออนไลน์

Related Posts