เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
News

รู้ยัง! 6 ปัจจัยเสี่ยงเส้นเลือดแดงใหญ่แตกเซาะ อันตรายถึงชีวิต

วันที่ 5 มกราคม 2561 นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ และโฆษกกรมการแพทย์ กล่าวว่า ร่างกายมีหลอดเลือดแดงใหญ่ เป็นหลอดเลือดแดงหลักที่ลำเลียงเลือดจากหัวใจไปสู่อวัยวะต่างๆ โดยความผิดปกติที่มักเกิดขึ้นกับหลอดเลือดแดงใหญ่คือ การขยายตัว (โป่งพอง) ของหลอดเลือดจนกลายเป็นถุงขังเลือดไว้ และเมื่อหลอดเลือดมีสภาวะโป่งพองมากขึ้น จะมีความเสี่ยงที่หลอดเลือดจะแตกออก ที่เรียกว่าเส้นเลือดแดงโป่งพองแตกเซาะ ถือเป็นภาวะที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะมีโอกาสทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยบางรายอาจเสียชีวิตที่บ้านหรือเสียชีวิตในขณะเดินทางมาโรงพยาบาล รวมถึงในบางครั้งอาจได้รับการวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคอื่น ทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

นพ.ณรงค์กล่าวอีกว่า เส้นเลือดแดงใหญ่แตกเซาะ เกิดจากการปริแตกของเส้นเลือดหรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ภาวะกดเบียดของน้ำหรือเลือดในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ ภาวะที่อวัยวะต่างๆ ขาดเลือดไปเลี้ยง ซึ่งเป็นผลจากการแตกเซาะ การฉีกขาดของผนังด้านในของเส้นเลือดแดงใหญ่บางส่วน ทำให้เลือดไหลเซาะเข้าไปในผนังของเส้นเลือด ภาวะเส้นเลือดแดงใหญ่แตกเซาะพบในผู้ป่วยที่มีอายุเฉลี่ย 50 ถึง 60 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันพบในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุน้อยลง โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน สูบบุหรี่ น้ำหนักเกิน และพันธุกรรม

พญ.วิพรรณ สังคหะพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวว่า ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกอย่างรุนแรงทันที เหนื่อย หายใจไม่ทัน บางรายอาจมีอาการปวดหลังหรือปวดท้องขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเส้นเลือดที่มีการแตกเซาะ นอกจากนี้ อาจหมดสติหรือมีภาวะเส้นเลือดหัวใจขาดเลือด แนวทางการวินิจฉัยที่ดีและแม่นยำที่สุดคือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งต่างจากการเอกซเรย์ปอดทั่วไป เพื่อค้นหาตำแหน่งของเส้นเลือดที่มีการแตกเซาะ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น การปริแตกหรือ  การแตกเซาะเข้าไปในเส้นเลือดของอวัยวะต่างๆ สำหรับการรักษาเส้นเลือดแดงใหญ่แตกเซาะควรได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วโดยการผ่าตัด มิฉะนั้น ผู้ป่วยอาจได้รับอันตรายถึงเสียชีวิต โดยแพทย์จะคำนึงถึงตำแหน่ง ขนาดของเส้นเลือด รวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่แนวทางการรักษาที่ถูกวิธีและรักษาชีวิตผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย

 

ที่มา : มติชนออนไลน์

Related Posts