ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 81.3 สูงสุดในรอบปี หลังคลายกังวลเรื่องราคาน้ำมัน ส่งออก-ท่องเที่ยว-สินค้าเกษตรกระเตื้อง ดันเศรษฐกิจไทยโต 4.5-5% ส่งออกแตะ 8-10% ส่วนบอลโลก ทำเม็ดเงินสะพัด 2 หมื่นล้านบาท กระตุ้นจีดีพีได้ 0.1%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิถุนายน 2561 ว่า อยู่ที่ 81.3 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนที่อยู่ 80.1 ซึ่งถือว่าเป็นค่าดัชนีที่สูงสุดในรอบ และยังเป็นการปรับขึ้นในทุกรายการ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มคลายความกังวลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายที่จะดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร ไปจนถึงสิ้นปี
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกทั้งในด้านการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวโดดเด่น รวมทั้งราคาสินค้าพืชผลทางการเกษตร ทั้งข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้เกษตรกรเกือบ 5 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 15-20 ล้านคน ที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ มีรายได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาเนื้อหมู และไข่ไก่ ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อเริ่มกลับมาแบบอ่อนๆ
ทั้งนี้ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ 92.5 ปรับขึ้นจากเดือนก่อนที่ 91.3 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 67.9 ปรับขึ้นจาก 66.9 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำอยู่ที่ 76.4 จาก 75.2 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 99.5 จาก 98.3
อย่างไรก็ดี สัญญาณเชิงบวกเหล่านี้ ทำให้ศูนย์พยากรณ์ฯ เตรียมปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปีนี้ใหม่ โดยคาดว่าจีดีพีปีนี้ จะอยู่ในรกอบ 4.5-5.5% จากเดิมที่คาดว่า จะโตในกรอบ 4.0-4.5% ซึ่งจะเป็นตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ ปี 2556 ที่จีดีพีโต 2.7% ส่วนการส่งออกนั้น คาดว่าจะโตในกรอบ 8-10% จากเดิมที่คาดไว้ 6-8% โดยจะขอรอดูค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในเดือนกรกฎาคมนี้ก่อน ว่าการฟื้นตัวนิ่งแล้วหรือไม่
สำหรับพฤติกรรมการบริโภคช่วงเทศกาลบอลโลกปีนี้ หอการค้าไทยยังคงยืนตัวเลขเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจที่ 2 หมื่นล้านบาท กระตุ้นจีดีพีได้ 0.1% แต่ที่ผู้บริโภครู้สึกว่าบรรยากาศปีนี้ไม่คึกคัก เพราะปีนี้การโหษณามีไม่มาก มีกิจกรรมเดิมๆ เช่น การส่งไปรษณียบัตรทายผลฟุตบอลโลกก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม
ที่มา : ขอบคุณข้อมูลจากข่าวสด