สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พสกนิกร รอเฝ้าฯรับเสด็จแน่นขนัด ท่ามกลางสายฝนปลื้มปีติทรงโบกพระหัตถ์ให้พสกนิกร สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯทรงตรวจความพร้อมพระเมรุมาศ รองนายกฯธนะศักดิ์ เผยลุล่วงกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ พร้อมสำหรับพระราชพิธียกนพปฎลมหาเศวตฉัตร 18 ต.ค.แน่นอน ขณะที่ทั่วประเทศทำบุญถวายเป็นพระราชกุศล ยืนสงบนิ่ง 89 วินาที ถวายอาลัย นายกฯเผยสวีเดนเตรียมจัดพิธีเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9 ที่ศิริราช จัดทำบุญ

ในหลวงเสด็จบำเพ็ญกุศล

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 13 ต.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชา ทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ พระราชวงศ์ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ผู้นำเหล่าทัพ และคณะทูตานุทูต เฝ้าฯ รับเสด็จ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่รถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนผ่านถนนหน้าพระลาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโบกพระหัตถ์ทักทายพสกนิกรที่มารอเฝ้าฯ รับเสด็จ ทั้งนี้ มีสายฝนตกลงมาจนทำให้พื้นถนนเปียก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชานุญาตให้พสกนิกรยืนเฝ้าฯ รับเสด็จได้ สร้างความปลื้มปีติแก่พสนิกร อย่างหาที่สุดมิได้

เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินถึงยังพระที่นั่งดุสิต มหาปราสาท ทรงวางพวงมาลาของส่วนพระองค์ และพวงมาลาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย และเครื่องราชสักการะกราบถวายบังคมพระบรมศพ ชาวพนักงานมโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ ปี่พาทย์ ทหารกองเกียรติยศพระบรมศพถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร พระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์ และสวดคาถาพิเศษ “ปรมินทรมหาภูมิพละ อตุลยะเตชะมหาราชัสสะ ปัตติทานคาถา” จบ พระสงฆ์สดับปกรณ์ ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา ออกจากพระที่นั่ง เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ที่จะถวายพระธรรมเทศนาและสวดธรรมคาถาขึ้นนั่งอาสน์สงฆ์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม พระราชาคณะถวายศีล และถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่งจบ พระสงฆ์ 4 รูปสวดธรรมคาถาแล้วทรงประเคนเครื่องไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ และทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ทั้งนั้นสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงจุดธูปเทียน ที่แท่นเตียงพระสวดพระอภิธรรม เสด็จพระราชดำเนินกลับ

พระเทพฯเสด็จฯตรวจพระเมรุ

เมื่อเวลา 07.14 น. ที่สนามหลวง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จ พระราชดำเนินส่วนพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรความคืบหน้าการจัดสร้างพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศและสิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศฯ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นายอารักษ์ สังหิตกุล อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ในฐานะทีมวิศวกรที่ปรึกษาวิศวกรรมด้านโครง สร้างพระเมรุมาศ และท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประจำสำนักพระราชวัง พิเศษ 10 เฝ้าฯ รับเสด็จ

ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มายังบริเวณพระที่นั่งทรงธรรม จากนั้นเสด็จพระราช ดำเนินไปยังพระเมรุมาศเพื่อ

ทอดพระเนตรระบบไอน้ำและระบบไฟฟ้าภายในสระอโนดาต และทอดพระเนตรงานปฏิมากรรมประกอบพระเมรุมาศ ได้แก่ บันไดนาคสามเศียรและบันไดนาคห้าเศียร ประติมากรรมเทพชุมนุมฐานไพทีนั่งราบ จึงเสด็จพระราช ดำเนินทอดพระเนตรจิตรกรรมฉากบังเพลิง และการจัดสร้างพระจิตกาธาน

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินลงจากพระเมรุมาศฝั่งทิศใต้ ก่อนเสด็จฯ ไปศาลาลูกขุน เพื่อทรงรับฟังการถวายรายงานความคืบหน้าและทอดพระเนตรประติ มากรรมประดับพระเมรุมาศ จากนั้นเสด็จฯ ทอดพระเนตรงานภูมิสถาปัตยกรรม อาทิ การประดับไม้ดอกไม้ประดับภายในมณฑลพิธี รวมไปถึงแปลงนาและคันนาเลขเก้าไทยและฝายแม้ว กังหันชัยพัฒนา หญ้าแฝก บริเวณทางเข้าพระเมรุมาศ ฝั่งทิศเหนือ ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับในเวลา 09.07 น. รวมเวลาในการเสด็จฯ ครั้งนี้กว่า 2 ช.ม.

พร้อมยกฉัตรฯ 18 ต.ค.

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้า ในการดำเนินงานนั้นขณะนี้มีความคืบหน้าร้อยละ 95.50 โดยการดำเนินงานจะเหลือในส่วนการติดตั้งม่าน ติดตั้งพรม โดยทั้งหมดในวันที่ 18 ต.ค. จะดำเนินการ เสร็จสมบูรณ์ และภายหลังที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงยกนพปฎลมหาเศวตฉัตร ยอดพระเมรุมาศในวันที่ 18 ต.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 17.19 น. เป็นต้นไป วันนั้นจะถือเป็นวันที่เสร็จสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ และหลังจากนั้นจะรื้อนั่งร้านบริเวณพระเมรุมาศองค์กลาง ส่วนในวันที่ 17 ต.ค.นั้น จะมีการซักซ้อมยกฉัตรพระเมรุมาศ หรือนพปฎลมหาเศวตฉัตร อีกครั้งในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. ซึ่งใกล้เวลาจริง โดยจะซ้อมทั้งในช่วงเย็นและช่วงค่ำเพื่อความมั่นใจ และในส่วนฉัตรที่ใช้ในการซ้อมจะมีความเหมือนจริงมากที่สุดและในส่วนน้ำหนักของรอกจะล็อกไว้ ส่วนภูมิสถาปัตยกรรมในส่วนของความงามต้นไม้มีความงามประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อถึงอยู่ในช่วงเวลาของพระราชพิธีความสมบูรณ์จะครบ 100 เปอร์เซ็นต์ และในส่วนสระอโนดาตจะนำปลาในส่วนสัตว์หิมพานต์มาเพิ่มในช่วงเวลาของพระราชพิธีเพื่อจะให้มีความสมบูรณ์ของสีสันบนตัวปลา โดยตนให้แนวคิดว่าให้เพิ่มความชัดทั้งในส่วนกลางวันและกลางคืนของประติมากรรมประดับพระเมรุมาศ เช่นเดียวกับ รวงข้าว ผักสวนครัวจะโตเต็มที่ ในช่วงเวลาพระราชพิธีเช่นกัน

นายกฯตักบาตร 1 ปีสวรรคต

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 07.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายพระราชกุศล ครบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป เพื่อถวาย เป็นพระราชกุศลและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

โดยมีคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้า ราชการ เจ้าหน้าที่ ภายในทำเนียบรัฐบาลร่วมทำบุญอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร, พระพรหม วชิรญาณ วัดยานนาวา, พระพรหมมุนี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม, พระเทพปริยัติมุนี วัดหงรัตนาราม, พระกิตติเวที วัดเบญจมบพิตรสถิตมหาสีมาราม, พระราชวินยาภรณ์ วัดบุรณศิริมาตยาราม, พระราชกิตติมงคล วัดโสมนัสราชวรวิหาร, พระปริยัติธรรมธาดา วัดเบญจมบพิตร สถิตมหาสีมาราม, พระโสภิตวิริยลังการ วัดสังเวชวิศยาราม, และพระสงฆ์จากวัดใกล้เคียง รับบาตร

จากนั้นช่วงเย็นพล.อ.ประยุทธ์ เฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิรา ลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโอกาสพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

เวลา 09.15 น. ที่ลานพระแม่ธรณีบีบมวยผม พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค ร่วมพิธีทำบุญและถวายสังฆทาน เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวันครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พร้อมยืนไว้อาลัย เป็นเวลา 89 วินาที ในเวลา 15.52 น.

ที่วัดลาดปลาเค้า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายอนุสรณ์ ปั้นทอง อดีตส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย คุณบุญฑริกา ประสงค์ดี นาย สายัณย์ จันทร์เหมือนเผือก และพี่น้องชาวลาดปลาเค้า ร่วมตักบาตรพระสงฆ์ 19 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

รบ.เชิญชมนิทรรศการผ่านเว็บไซต์

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอเชิญชวนคนไทยเข้าชมนิทรรศการเสมือนจริง “เย็นศิระ เพราะพระบริบาล” ผ่านทาง www.yensiraphrophraboriban.com ซึ่งจำลองบรรยากาศของนิทรรศการ ที่ได้จัดขึ้น ที่ท้องสนามหลวง เมื่อเดือน ก.พ.60 โดยมีสถิติผู้เข้าชมนิทรรศการ ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.-15 พ.ค.60 จำนวน 395,050 คน รัฐบาลจึงได้จัดทำนิทรรศการเสมือนจริง เพื่อนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย พระราชกรณียกิจที่สำคัญ และประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ ให้ประชาชนสามารถเข้าชมได้ทุกที่ทุกเวลา และเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ผ่านเว็บไซต์ ประกอบด้วย โซนที่ 1 บุญของแผ่นดินไทย โซนที่ 2 พระราชาผู้ทรงธรรม โซนที่ 3 กษัตริย์ ผู้ยิ่งใหญ่ โซนที่ 4 พระมิ่งขวัญชาวไทย และโซนที่ 5 ร้อยใจไทย

ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ว่า วันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค. 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที ถือเป็นห้วงเวลาแห่งความวิปโยคโศกศัลย์ เป็นวันที่ความเศร้าสลดสูญเสีย ท่วมท้นจิตใจของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ เมื่อสำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสู่สวรรคาลัย สุดที่คนไทยจะหักห้ามความอาลัยรักและความระลึกถึงที่มีแด่พระองค์ พระผู้เปรียบดั่งพ่อของแผ่นดินได้ โดยความกตัญญูกตเวทีและความจงรักภักดี ก็จะยังอยู่ในจิตใจของพวกเราพสกนิกรของพระองค์ตลอดไป และที่สำคัญคือมีความสงบสุขร่มเย็น แต่งานของพระองค์ยากกว่าภารกิจของพ่อโดยทั่วไปมากนัก เพราะทรงมีลูกหลายสิบล้านคน ทำให้พระองค์ต้องทรงงานหนัก ประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ด้วยความรักและความห่วงใย

สวีเดนจัดถวายพระเกียรติ

กล่าวโดยสรุปเป็น 3 ประการ คือ ทรงดูแลพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา บนผืนแผ่นดินไทย ด้วยความเสมอภาค ให้ลูกหลานไทยทุกคนอยู่ดีกินดี โดยทรงสอนให้เรียนรู้และอยู่กับธรรมชาติอย่างสมดุล ทั้งดิน น้ำ ป่า ด้วยการทำนุบำรุง ฟื้นฟู และใช้สอยทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ทรงสอนหลักการใช้ชีวิต เช่น การประหยัดใช้ดินสอจนหมดแท่ง ใช้ยาสีฟันจนหมดหลอด รวมไปถึงการออม การรู้จักพอเพียง การพึ่งพาตนเอง และการทำงานอย่างมีความสุข เป็นต้น ที่สำคัญคือ ทรงพระราชทานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแนวการดำรงชีวิต และการปฏิบัติตนให้สมดุลและพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง จนได้รับการขนานนามว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา

ประการที่ 2 ในบทบาทพ่อของแผ่นดิน พระองค์ทรงเตรียมความพร้อมให้คนไทยเดินเข้าสู่โลกกว้างได้อย่างสง่างาม โดยทรงทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จัก ยอมรับ และได้รับการสนับสนุนในเวทีระหว่างประเทศ ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ และการให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ และทรงให้ความสำคัญ กับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยความจริงใจ และทรงทำหน้าที่การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง อย่างอบอุ่น ด้วยทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บรรดาทูตานุทูตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสาส์นตราตั้ง ในการเข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทย และถวายบังคมทูลลาเมื่อครบวาระเพื่อให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวโลก เป็นรากฐานให้ลูกหลานไทยมีจุดยืนที่มั่นคงในสังคมโลก

ล่าสุดทางการสวีเดนจะจัดพิธีสำคัญ เนื่องจากการเสด็จสวรรคต เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ แด่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ที่เคยได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เซราฟีมซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของสวีเดน ซึ่งพิธีดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 26 ต.ค.นี้ วันเดียวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยกองทหารเกียรติยศสวีเดนจะอัญเชิญตราประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จากพระราชวังสตอกโฮล์ม ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ฝังพระศพของราชวงศ์สวีเดน อันเป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ใกล้ชิด ระหว่างพระราชวงศ์ ประชาชน และประเทศทั้ง 2 ด้วย

ทั้งนี้ ตนในฐานะนายกรัฐมนตรีได้เป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนชาวไทย รับมอบสำเนามติ ของวุฒิสภาสหรัฐ ว่าด้วยการเทิดพระเกียรติและแสดงความรำลึกแด่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ในฐานะพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถด้านการทูต เชื่อมโยงความสัมพันธ์อันใกล้ชิด ระหว่างประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

จัดพิธีบรมศพสมพระเกียรติ

ประการสุดท้ายคือ ทรงเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรชาวไทยทั้งชาติ ทรงพระราชทาน “ส.ค.ส.ปีใหม่” พร้อม คำอวยพร เพื่อสร้างขวัญและเพิ่มกำลังใจ ให้พวกเราเป็นประจำทุกปี ทรงให้ข้อคิด ในการดำรงชีวิต ไม่ให้ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ให้มีความเพียรอันบริสุทธิ์ ทรงให้กำลังใจทุกครั้งในคราวที่ประเทศชาติและประชา ชนประสบความทุกข์ยาก หรือสาธารณภัย ทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง พายุเกย์ สึนามิ และสอนให้รู้จักการเสียสละผลประโยชน์ ส่วนตนเพื่อส่วนรวม และทรงให้สติและ หาทางออกของทุกปัญหา รวมทั้งวิกฤตทางการเมืองในประเทศทุกครั้งที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ด้วยพระบารมีแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ที่จะทรงเป็นมิ่งขวัญ เป็นหลักชัย และเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวไทยทั้งชาติ ในการร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ แห่งราชวงศ์จักรี ในการทำนุบำรุง ปกปักรักษาประเทศไทยไว้เพื่อลูกหลานไทย ตราบนานเท่านาน รัฐบาลขอให้คำมั่นแก่พี่น้องประชาชนคนไทยว่าเราจะร่วมกันทั้งจิตอาสาเฉพาะกิจฯ ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งพลังประชารัฐและทุกภาคส่วนในสังคมไทย ในการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรใน วันที่ 26 ตุลาคม ที่ใกล้จะมาถึงนี้ ให้เรียบร้อย สมบูรณ์ที่สุด เพื่อถวายพระเกียรติยศอันสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย

ทั้งนี้ วันที่ 13 ต.ค.ของทุกปีนับจากนี้สืบไป จะไม่เป็นเพียงวันที่ปวงชนชาวไทยจะได้สำนึกและรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งเท่านั้น แต่จะเป็นวันที่พวกเราทุกคนจะได้รู้รักสามัคคีหลอมรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียว ให้สมกับที่พระองค์ผู้ทรงเป็นกำลังของแผ่นดินได้ทรงวางรากฐานไว้ และจะต้องร่วมกันสืบสานสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้คงอยู่ตลอดไป และพระองค์จะทรงประทับอยู่ในจิตใจของคนไทยทั้งชาติชั่วกาลนาน

กอร.เผยกำหนดซ้อมริ้วขบวน

เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมสุรศักดิ์มนตรี ชั้น 2 อาคารสำนักงานโฆษกกระทรวงกลาโหม กองอำนวยการร่วม พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (กอร.พระราชพิธีฯ) แถลง “การซักซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ” โดยมี พล.ต.สันติพงษ์ ธรรมะปิยะ รองแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ต. มนตรี ยิ้มแย้ม รองผบช.น.นายเกรียงไกร จงเจริญ ผู้ช่วยปลัดกรุงเทพ มหานคร และนายณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ร่วมชี้แจงประเด็นการแถลง

พล.ต.สันติพงษ์กล่าวว่า สำหรับการ ฝึกซ้อมริ้วขบวนแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือคัดเลือกกำลังพล ขั้นตอนการแต่งกายและซักซ้อม ในริ้วขบวน สำหรับในการ คัดเลือกกำลังพลดำเนินการตั้งแต่เดือน ม.ค. เป็นกำลังพลที่บุคลิกลักษณะที่ดี สูง 160-165 ซ.ม. เพื่อให้ริ้วสวยงาม สมพระเกียรติ ส่วนการแต่งกายได้มีการอบรมกำลังพล ซึ่งจะได้รับเครื่องแต่งกายใหม่ โดยเชิญสำนักพระราชวังมาให้ความรู้ทุกคนที่ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี

สำหรับการซักซ้อม กำหนดไว้เป็นสองขั้นตอน คือ ซ้อมแบบแยกการและรวมการ มีผู้ร่วมเดินในขบวน 7,000 คน ในส่วนการแยกการจะมีชุดครูไปฝึกสอนให้ในแต่ละพื้นที่ และได้ซ้อมรวมการ 5 ครั้ง โดยการซ้อมในวันที่ 7 คนที่เดินในริ้วขบวนมีความเข้าใจเป็นอย่างดี อาจมีการแก้ไขเรื่องการเดินเล็กน้อย สำหรับในวันที่ 15 ต.ค. จะมีการซ้อมในพื้นที่จริง ตั้งแต่ริ้วขบวนที่ 1-3 และช่วงบ่ายมีการซ้อมริ้วขบวนที่ 6

ศิริราชยืนสงบนิ่ง 89 วินาที

ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกทม. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมเปิดเผยความพร้อมในการเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิง ว่า กทม. จัดเตรียมดอกไม้จันทน์ไว้กว่า 13 ล้านดอก สำหรับประชาชนที่เดินทางมาร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ที่พระเมรุมาศจำลอง ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และสถานที่จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ตามวัดต่างๆ รวมทั้งหมด 113 แห่ง ซึ่งพระเมรุมาศจำลองและซุ้มขนาดใหญ่ จะสามารถรองรับประชาชนได้จุดกว่าละ 100,000 คน ซุ้มขนาดกลาง 80,000 คน และสถานที่จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ตามวัดต่างๆ วัดละ 70,000 คน นอกจากนี้ ยังได้เตรียมรถสุขาเคลื่อนที่ 70 คัน ตู้สุขาสาธารณะ 150 ตู้ จอดและตั้งวางในพื้นที่โดยรอบการจัดงานพระราชพิธีด้วย

ส่วนของที่พักนั้น เตรียมอาคารกีฬาเวสน์ 1 (ดินแดง) ไว้สำหรับรองรับประชาชน พร้อมทั้งประสานวัด 50 แห่ง และโรงเรียน 72 แห่ง ในพื้นที่ไว้รองรับประชาชนเพื่อให้ได้มีที่พักค้างหรือพักคอยเป็นเวลานาน

ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง สนามหลวง และเส้นทางขบวนพระบรมราชอิสริยยศ กรุงเทพมหานครได้ติดตั้งกล้องซีซีทีวีเพิ่มเติม 277 ตัว แบ่งเป็นบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง 44 ตัว เส้นทางขบวนพระบรมราชอิสริยยศ 233 ตัว พร้อมเชื่อมโยงสัญญาณไปที่กรมการรักษาดินแดน กระทรวงกลาโหม และศาลาว่าการกทม. ซึ่งจะมีหน่วยงานด้านความมั่นคงร่วมดูแลสถานการณ์ทุกวันตลอดเวลาไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นพระราชพิธี

ที่โรงพยาบาลศิริราช จัดงาน “ศิระกรานพระภูบาลนวมินทร์” เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 1 ปีแห่งการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยตั้งแต่เวลา 05.30 น. มีพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง พระสงฆ์ 199 รูป ขณะที่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในเวลา 15.52 น. ซึ่งเป็นเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคตประชาชนที่มาร่วมกิจกรรม ที่โรงพยาบาลศิริราชต่างจับจองพื้นที่รอบโรงพยาบาลเพื่อรอร่วมเจริญจิตตภาวนา โดยพระเทพปฏิภาณมุนีได้เชิญชวนพสกนิกรชาวไทยร่วมเจริญจิตตภาวนา เป็นเวลา 9 นาที โดยพร้อมเพรียงกัน ระหว่างนั้นประชาชนหลายคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ร้องไห้ออกมาด้วยความระลึกถึง

พสกนิกรถวายสักการะล้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้สำนักพระราชวังจัดทำซุ้มประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บริเวณริมกำแพง หน้าพระบรมมหาราชวัง ระหว่างประตูวิเศษไชยศรี และประตูมณีนพรัตน์ สำหรับให้ประชาชนได้ถวายสักการะ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ซึ่งวันนี้เปิดให้ประชาชนเข้าถวายสัก การะเป็นวันที่ 3 และเนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 ปีแห่งการสวรรคต ทำให้มีประชาชนหลั่งไหลเดินทางมาถวายสักการะไม่ขาดสาย โดยท้ายแถวของประชาชนฝั่งจุดคัดกรองหลังศาลหลักเมืองยาวไปจนถึงบริเวณหน้ากระทรวงมหาดไทย ขณะที่จุดคัดกรองบริเวณท่าช้างได้จัดให้ประชาชนต่อคิวแบ่งเป็นสองฝั่ง โดยท้ายแถวยาวไปจนถึงวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ และสวนนาคราภิรมย์ แม้ในช่วงเช้าและช่วงบ่ายจะมีฝนตกลงมาเป็นระยะ แต่ประชาชนยังคง ต่อคิวอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้อำนวยความสะดวกโดยการนำแผงเหล็กมากั้นช่องทางเดินเชื่อมระหว่างจุดคัดกรองหลังศาลหลักเมือง ถ.อัษฎางค์ ข้างกระทรวงกลาโหม และจุดคัดกรองบริเวณท่าช้าง

ทั้งนี้ สำนักพระราชวังจะเปิดให้เข้าถวายสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นวันที่ 15, 21 และ 22 ต.ค. เนื่องจากทาง กอร.พระราชพิธีฯ จะมีการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยจะแจ้งวันปิดอีกครั้ง

ประชาชนร่วมทำบุญทั่วประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั่วประเทศ มีการจัดพิธีทำบุญตักบาตร ถวายเป็นพระราชกุศล ครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถพิตร อาทิ ที่ จ.เชียงใหม่ จัดงาน ที่ศูนย์ประชุมแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา และช่วงเย็นจะมีพิธีบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ณ วัดเจ็ดยอดพระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ที่ จ.นครราชสีมา ที่แฟชั่นฮอลล์ เดอะมอลล์ นครราชสีมา ชาวโคราชกว่า 600 คน ร่วมทำบุญตักบาตรพระภิกษุ สามเณร 19 รูป ภายในงานมีช้าง 9 เชือก จากศูนย์คชศึกษา หมู่บ้านช้างสุรินทร์ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ร่วมตักบาตรด้วย นอก จากนี้ประชาชนยังร่วมบริจาคโลหิต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลด้วย

ที่ จ.จันทบุรี หน้าศาลากลาง พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ตลอดจนกลุ่มจิตอาสาเฉพาะกิจ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์น้อมถวายเป็น พระราชกุศล โดยมีพระภิกษุสงฆ์ออกรับบิณฑบาต 89 รูป

ที่ อ.เบตง จ.ยะลา พสกนิกรชาวเบตง ทำบุญตักบาตรครบ 1 ปี วันสวรรคต ถวายข้าวสารอาหารแห้ง ปลูกดาวเรือง 2 พันต้น และบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ ทำความดี ถวายเป็นพระราชกุศล ในหลวง ร.9 เช่นเดียวกับที่ จ.นราธิวาส จัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล

พระราชทานวิดีทัศน์ร.9

ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และทรงรับรู้ด้วยพระราชหฤทัยถึงพลังความรัก ความศรัทธาเทิดทูนของปวงประชาชนชาวไทย จึงพระราชทานพระราชานุญาตให้จัดตั้ง “จิตอาสาเฉพาะกิจ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ” ขึ้น โดยแบ่งเป็น 8 งาน ซึ่งปฏิบัติงานในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ระหว่างวันที่ 18-31 ต.ค. 2560 ที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลกจะได้ร่วมบำเพ็ญประโยชน์และแสดงออกซึ่งพลังความรักอันประเสริฐและพลังแห่งความจงรักภักดี เพื่อร่วมพลังกายใจให้งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นไปอย่างสมพระเกียรติ ก่อนเสด็จสู่สวรรคาลัย

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชานุญาตให้เชิญวีดิทัศน์ ความยาว 6.27 นาที ไปเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ วีดิทัศน์นี้ได้เผยแพร่ภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเสด็จฯ ด้วย รวมถึงภาพการทำกิจกรรมจิตอาสาของหน่วยพระราชทานกับประชาชนจิตอาสาเราทำความดี ด้วยหัวใจ ในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งมีการอธิบายถึงการทำหน้าที่ของจิตอาสาเฉพาะกิจฯ ทั้ง 8 ประเภท พร้อมเชิญชวนให้จิตอาสาเฉพาะกิจฯ พร้อมใจกันปฏิบัติหน้าที่ เพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย

 

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน