หลงใหล‘โครเอเชีย’ ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว : หลากหลาย

โดย วิภา สุนันท์สถาพร

หลงใหล‘โครเอเชีย’ ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว – สาธารณรัฐโครเอเชีย ทีมรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 เป็นประเทศเล็กๆ มีประชากร 4 ล้านคนเศษ ได้สมญานามว่าเป็น ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว ตามลักษณะแผนที่ของประเทศ

มีพื้นที่ประเทศเพียง 56,000 ตร.ก.ม. ประมาณ 10% ของพื้นที่ประเทศไทย แต่มีมรดกทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติสร้างสรรค์มากถึง 10 แห่ง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากองค์การยูเนสโก ทำให้แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากถึง 18 ล้านคน

จึงนับเป็นโอกาสดีที่ได้ร่วมทริปกับบริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ ดิเอ็กเซล, ไรส์และอิมเพรสชั่น ไปดูงานด้านสถาปัตยกรรม

หลงใหล‘โครเอเชีย’

เมืองไข่มุกแห่งเอเดรียติก

หลังออกจากสนามบิน เรามุ่งหน้าไป เมืองโอพาเทีย (Opatija) เมืองชายทะเล อเดรียติก หรือฉายา “ไข่มุกแห่งเอเดรียติก” ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศ ใกล้เมืองเวนิซ ของประเทศอิตาลี ในอดีตมีฐานะเป็นเมืองตากอากาศสำคัญของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่และชนชั้นสูง ของออสเตรีย บรรยากาศของเมืองออกจะหรูหราดูแพง แต่เงียบๆ ไม่มีแหล่งบันเทิงเหมือนเมืองชายทะเลบ้านเรา

หนึ่งในไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวต้องไปถ่าย รูปด้วยคือ รูปปั้นสาวงาม “นางแห่งนกนางนวล” (MAIDEN WITH THE SEAGULL) ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองนี้

หลงใหล‘โครเอเชีย’

รูปปั้นสาวงาม นางแห่งนกนางนวล

ริมถนนเลียบชายทะเล มีการตั้งขายงานศิลปะภาพวาดสีน้ำ วิวทิวทัศน์ ภาพสาวงาม และศิลปะผสมผสาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของที่นี่ สนนราคามีตั้งแต่หลักร้อยไปถึงหลักพันบาท

เราไปเที่ยวกันต่อที่ อุทยานแห่งชาติพริตวิเซ่ (Plitvice National Park) ซึ่งองค์การยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ด้วยพื้นที่ของอุทยานทั้งหมดราว 295 ตร.ก.ม. เป็นพื้นที่ป่าและมีทะเลสาบสี เทอร์คอยซ์ถึง 16 แห่ง ซึ่งอุทยานได้สร้างสะพานไม้เชื่อมแต่ละทะเลสาบเข้าด้วยกัน ถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นภูมิทัศน์สวยงามคุ้มค่าแก่การเดินชมถึง 3 ชั่วโมง

หลงใหล‘โครเอเชีย’

น้ำตกในอุทยานแห่งชาติพริตวิเซ่

เมืองซาดาร์ (Zadar) เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาด มีประวัติศาสตร์มากกว่า 3,000 ปี อดีตเคยเป็นเมืองท่าที่เก่าแก่ตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงปัจจุบัน และเคยเป็นศูนย์กลางคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแดลเมเชีย

ที่เที่ยวสำคัญๆ คือ โบสถ์อนาสเซีย สร้างในสมัยศตวรรษที่ 5-6 ในยุคโรมานสก์ เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นแดลเมเชีย

หลงใหล‘โครเอเชีย’

โบสถ์อนาสเซียที่เมืองซาดาร์

ไม่ไกลเท่าไร เราได้ยินเสียงดนตรีจากมหาสมุทร “ซีออร์แกน” ผลงานที่สะท้อนว่าคนประเทศนี้เก่งทั้งศาสตร์และศิลป์ โดยอาศัยการฝังท่อจากพื้นลงทะเล เมื่อพลังจากคลื่นทะเลซัดน้ำเข้าไปในท่อที่ลิ้นแตกต่างกัน ทำให้เกิดโทนเสียงสูงต่ำกังวานออกมา วู้ วู วู้ วู … น่าอัศจรรย์ ที่สำคัญพระอาทิตย์ตกที่นี่สวยมาก

วันถัดมา มุ่งหน้าสู่ เมืองสปลิต (Split) เมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากซาเกร็บ อยู่ในแคว้นแดลเมเชีย เชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยน

เมืองนี้ยังเป็นเมืองศูนย์กลางการคมนาคม เป็นเมืองมรดกโลก ตัวเมืองโบราณสร้างรายล้อมพระราชวัง ดิโอคลีเธียน สถานที่ประทับของจักรพรรดิดิโอคลีเธียน แห่งโรมัน ซึ่งต้องการสร้างพระราชวังสำหรับใช้พำนักในบั้นปลายชีวิตหลังสละพระราชบัลลังก์

ที่นี่มีหลายจุดที่น่าสนใจ ได้แก่ สุสานดิโอคลีเธียน มหาวิหารจูปิเตอร์ สฟิงซ์ ตัวจริงและเหลือเป็นตัวสุดท้ายที่จักรพรรดิดิโอคลีเธียน นำมาจากประเทศอียิปต์ ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 3

หลังจากโรมันเสื่อมอำนาจ พระราชวังแห่งนี้ก็ค่อยๆ ถูกละเลย อีกหลายศตวรรษต่อมา ช่วงที่ต่างชาติโจมตีเมืองรอบๆ สปลิต ชาวเมืองอื่นจึงอพยพมาอาศัยในพระราชวัง เพราะมีกำแพงช่วยปกป้องภัยเป็นอย่างดี และอยู่กันแบบถาวร ไม่ได้อพยพไปไหนอีกเลย และต่างจับจองพื้นที่โดยชั้นล่างเป็นร้านค้า ร้านอาหาร

ช่วงบ่ายแก่ๆ เราไปต่อกันที่ เมืองสตอน (Ston) ที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล เมืองนี้เปรียบเสมือนตัวแทนของประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมยุคกลาง คือ กำแพงเมืองโบราณ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อมรอบเมือง โดยใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 200 ปี มีความยาว 5.5 กิโลเมตร ในอดีตกำแพงแห่งนี้เคยถูกระเบิดในสงครามปี 1991 และแผ่นดินไหวในปี 1996 แต่ยังสามารถคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

หลงใหล‘โครเอเชีย’

กำแพงเมืองสตอน

มาถึงไฮไลต์สำคัญ เมืองดูบรอฟนิก (Dubrovnik) เมืองมรดกโลก ที่โด่งดังจากซีรีส์ เกม ออฟ โทรนส์ (Game of Thrones) มหาศึกชิงบัลลังก์ เป็นซีรีส์แนวแฟนตาซีย้อนยุค

ไกด์พาชมในส่วนของเมืองเก่า จะมองเห็นกำแพงเมือง ซึ่งเป็นกำแพงหินที่ยังคงสภาพเดิม แม้ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12-17 รอบตัวเมืองทุกทิศเพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก แนวกำแพงยาวประมาณ 1,940 เมตร สูง 25 เมตร มีความหนา 3 เมตร ได้ชื่อว่ามีความมั่นคงและแข็งแกร่งที่สุดในน่านน้ำแถบนี้

หลงใหล‘โครเอเชีย’

ดูบรอฟนิกเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป

แม้จะมีบาดแผลของสงครามที่หลงเหลือให้เห็น ตามกำแพงเมือง แต่ผู้คนที่นี่ดูเหมือนจะทิ้งเรื่องราวไว้เบื้องหลัง และมีรอยยิ้มให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนอย่างเป็นมิตร

ไกด์ยังนำเราเดินชมประตูปิเล, น้ำพุโอโนฟริโอ, หอนาฬิกาโบราณ, พระราชวังเร็กเตอร์, Sponza Palace ล้วนตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

สังเกตเห็นตามอาคารเมืองเก่าแทบทุกแห่งใน โครเอเชีย ยังให้ชาวบ้านอยู่อาศัย เพราะตามอาคารมีเสื้อผ้าตากบนราวเชือกที่ขึงไว้ระหว่างอาคารตามตรอกเล็กซอย น้อยปลิวกันไสว เป็นเสน่ห์ไปอีกแบบ

โทรเกียร์ (Trogir) เมืองเก่าแก่ตั้งแต่ 380 ปีก่อนคริสตกาล ความน่าสนใจอยู่ที่เป็นเมืองที่อยู่บนเกาะ แต่ห่างจากฝั่งเพียงข้ามสะพานไม่กี่ก้าว สถาปัตยกรรมบ้านเรือนที่นี่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสไตล์เรเนซองส์และบาโร้ก

องค์การยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนให้เมืองโทรเกียร์เป็นมรดกโลกในปี 1997 มีร้านขายยาร้านแรกของยุโรป เปิดขึ้นที่เกาะโทรเกียร์นี้ด้วย เปิดทำการมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13

มหาวิหารเซนต์ ลอเรนซ์ (ST.Lawrence) ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ โดยใช้เวลาสร้างกว่า 400 ปี เริ่มสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เป็นโบสถ์ศิลปะสไตล์โรมาเนส-โกธิก และสร้างหอระฆังในศตวรรษที่ 16 วิหารนี้ยังเป็นวิหารที่ทำพิธีศีลจุ่มของเซนต์จอห์นนักบุญอุปถัมภ์อีกองค์ ของโทรเกียร์ ที่ประตูทางเข้าจะมีรูปปั้นอีฟและอดัม สิงโต และรูปสลักนักบุญองค์สำคัญต่างๆ

ซึมซับกับเมืองเก่าจุใจแล้ว ได้เวลามุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงซาเกร็บ เมืองแห่งศิลปวัฒนธรรมและเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ปัจจุบันชาวโครเอเชียมีวิถีชีวิตเยี่ยงชาวยุโรปที่เจริญโดยทั่วไป

วิหารเซนต์มาร์ก (St.Marks) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าซาเกร็บ จุดเด่นคือหลังคามุงกระเบื้องสีต่างๆ ซึ่งเป็นรูปสัญลักษณ์ของ ซาเกร็บ โครเอเชีย สโลวีเนีย และแดลมาเชีย ที่ครั้งหนึ่งเคย เป็นประเทศเดียวกัน เรายังได้ไปโบสถ์ประจำเมืองเก่าเซนต์ แคทเธอรีน (St.Catherinen) โบสถ์แบบบาโร้กสีขาว แวะชมจัตุรัส Trg Ban Jalacic Square จัตุรัสกลางเมืองที่ล้อมรอบด้วยอาคารสมัยใหม่ ชมอนุสาวรีย์ Ban Josip Jelacie ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระจากชาวฮังการี เมื่อปี 1848

หลังซึมซับเมืองมรดกโลกอย่างจุใจ การันตีได้ว่าโครเอเชีย น่าจะเป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ชอบธรรมชาติและเมืองเก่า

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน