เที่ยวชิมขนม เมืองสุโขทัย
คอลัมน์ ข่าวสดหรรษา
โดย สุนันทา บวบมี
เที่ยวชิมขนม – เมืองสุโขทัยของกินมากมาย สมกับเป็นเมืองเที่ยวสายกิน เช้าวัน ต่อมายกคณะไปรีวิวเส้นทาง Ancient Sukhothai Dessert Hopping เพื่อตามกินอาหารพื้นบ้าน
โดยวันนี้ยังโดยสารรถคอกหมูคันเดิม แต่เปลี่ยนทิศออกไปนอกเมืองที่ ต.เมืองเก่า แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ ซึ่งการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ในชุมชนยังคงอยู่ในวิถีโบราณ ครั้งนี้มีโอกาสได้ลงแรงทำอาหารกันเอง
ตลอดเส้นทางการเดินไปตามหมู่บ้าน พบกับร้านขายของฝากสินค้าแฮนด์เมด ทั้งไม้ แกะสลัก เครื่องสังคโลกสุโขทัย และผ้าพิมพ์ลาดวาดมือลวดลายวิจิตรงดงาม
นับหนึ่งด้วย “ขนมสังขยาชาวนา” แต่เดิมนั้นชาวสุโขทัยมักทำกินในช่วงที่เก็บเกี่ยวข้าว โดยเจ้าของข้าวจะนำมาเลี้ยง ให้กับคนที่มาช่วยงาน ในสมัยนั้นมีชื่อเรียกที่ตลกๆ ว่า “สังขยาขี้ควาย” เพราะมีลักษณะเป็นน้ำข้นๆ เหมือนสังขยา กินกับข้าวเหนียวคลุกมะพร้าวขูด
ต่อมาจึงตั้งชื่อให้ไพเราะขึ้นว่า “สังขยาชาวนา” ส่วนวิธีการปรุงสังขยานั้นคล้ายการทำหน้ากระฉีก โดยนำหอมแดงซอยไปเจียวในน้ำมันพอเหลืองกรอบ ตักบางส่วนพักไว้เพื่อเก็บไว้โรยหน้าขนม ส่วนที่เหลือในกระทะ ใส่น้ำตาล ใส่ไข่ กวนให้เข้ากันดีจนเหนียวข้น วิธีการกินคือนำข้าวเหนียวที่มีรสเค็มมันไปจิ้มกับสังขยารสชาติหวานข้น
เคล็ดลับการนึ่งข้าวเหนียวของชาวเมืองเก่าให้อร่อยและหอมนุ่มนั้น จะใช้วิธี “ดง” คือนำข้าวเหนียวที่แช่แล้วไปใส่ในหม้อแบบโบราณตั้งบนเตาถ่าน พอข้าวเริ่มสุกก็เทน้ำส่วนที่เหลือออก โดยใช้ไม้ขัดล็อกฝาไว้ อังไฟไปเรื่อยๆ จนข้าวสุก
วิธีนี้ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้วต้องใช้ความชำนาญพอควร ไม่งั้นมีสิทธิ์ข้าวไหม้ติดหม้อจนเอาไปทำขนมไม่ได้
เดินถัดไปอีก 2 ซอย ไปแวะชิม “ขนม 4 ถ้วย” ขนมมงคลสำหรับประเพณีการแต่งงาน เป็นการเลี้ยงผีบรรพบุรุษของ 2 ตระกูล ด้วยของเซ่นไหว้ 4 เตียบ เพื่อให้เป็นทองแผ่นเดียวกันโดยสมบูรณ์
เรียกประเพณีนี้ว่า “กิน 4 ถ้วย” ประกอบด้วย ไข่กบ (เมล็ดแมงลักน้ำกะทิ) นกปล่อย (ลอดช่องน้ำกะทิ) มะลิลอย (ข้าวตอกน้ำกะทิ) หรือ นางลอย และ อ้ายตื้อ (ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ)
การกินขนมมงคล 4 อย่าง คือการกินรวมมิตรของคนโบราณ มีขั้นตอนการกินง่ายๆ คือหยิบ ข้าวเหนียวดำลงใส่ถ้วยตามด้วย ลอดช่อง เมล็ดแมงลัก แล้วราดด้วยน้ำกะทิผสมน้ำตาลโตนด โรยด้วยข้าวตอก จะเริ่มอมน้ำหวานเวลาเคี้ยวจะนุ่มลิ้น กลิ่นหอมของน้ำตาลโตนดเพิ่มรสชาติความอร่อย
ไม่นานก็ได้ตื่นเต้นกัน เมื่อคุณลุงเจ้าของบ้านตั้งกระทะบนเตาถ่าน ก่อนใส่ข้าวเหนียวที่ยังมีเปลือกลงไปประมาณ 1 กำมือ ใช้กิ่งไม้กวนไปมา พอเริ่มร้อนได้ที่ก็ปิดฝา ตั้งตารอฟังเสียงข้าวแตก ไม่นานเสียงข้าวที่โดนความร้อนจนแตกก็เด้งกระทบดังสนั่น รอจนเสียงสงบแล้วค่อยเปิดฝา ข้าวตอกร้อนๆ หอมๆ ออกมาสวยงามน่ากิน หยิบมากินเล่นเป็นสแน็กคล้ายป๊อปคอร์นแบบฝรั่งก็ได้เหมือนกัน
จบเส้นทางเที่ยวที่ 2 ด้วยการทำขนมขึ้นชื่ออย่าง “ขนมแดกงา” ได้ยินชื่อแล้วทุกคนก็สะดุดกับคำว่า “แดก” ไม่ค่อยสุภาพสักเท่าใดนัก ตัวขนมทำจากข้าวเหนียวนึ่งสุก นำไปตำในครกไม้จนเนื้อเนียนละเอียดเหมือนขนมโมจิของญี่ปุ่น
ไม่นานเราก็ร้องอ๋อ เมื่อป้าเจ้าของบ้านนำงาดำคั่วบดละเอียดมาใส่ พร้อมบอกว่านี่เรียกว่า “การแดก” คือค่อยๆ ใส่ส่วนผสมลงไป ระหว่างตำ มิใช่คำหยาบคายตามที่เข้าใจกัน
ลุงและป้าเจ้าของบ้านเริ่มสาธิตวิธีการทำให้ดู ระหว่างที่ป้านวดข้าวเหนียว ลุงถือสากไม้ยักษ์คอยตำสลับกัน ดูไปเสียวแทนป้าไป เพราะกลัวว่าลุงจะลงสากพลาดโดนมือป้า
คณะโพล่งถามไปตรงๆ ว่าเคยพลาดตำมือป้าไหม ความฮาครืนจึงบังเกิด แต่ป้าก็ตอบ นิ่งๆ กลับมาว่า “ต้องทำให้มีจังหวะสม่ำเสมอ และรู้ใจกัน” แต่หากลุงเกิดจงใจอันนั้นก็มีวิธีจัดการอีกแบบ
เมื่อบรรยากาศเริ่มอึมครึม ลุงที่อยู่ในหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนเรื่องไปอธิบายวิธีการทำขั้นต่อไป ถือว่าวันนี้รอดไป
เป็นเรื่องสนุกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการ ท่องเที่ยว ที่วันหนึ่งจะกลายเป็นความทรงจำอยู่ในใจของเรา เด่นชัดกว่าภาพถ่าย เป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมผ่านอาหาร และการกินอย่างแท้จริง
เพราะทุกอย่างที่อยู่ในวิถีชีวิตของชุมชนนั้น ผ่านการกลั่นกรองออกมาตามกาลเวลาแล้ว ทุกอย่างจึงสอดแทรกด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ