สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่น เที่ยวชมมรดกโลก
สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่น เที่ยวชมมรดกโลก – ญี่ปุ่น เป็นความฝันใฝ่ของใครหลายคนที่อยากไปเยือน สักครั้ง เพราะนอกจากมากมายด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งสวยงาม แปลกตา ยังผสมผสานระหว่างความเก่าขรึมขลัง กับความทันสมัยที่ศิวิไลซ์เลิศเลอ
ทำให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยมากถึง 1 ล้านคน เดินทางไปสัมผัสเสน่ห์ และวัฒนธรรมรูปแบบเฉพาะตัวในดินแดนอาทิตย์อุทัย
เมื่อเร็วๆ นี้ มีโอกาสติดตามคณะของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปเผยแพร่ส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ในงาน JATA Tourism Expo Japan 2019 ที่นครโอซากา
หวังดึงนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางเข้ามา ประเทศไทยเพิ่ม มากขึ้น จากที่มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น เดินทางเข้าประเทศไทยแล้วถึง 1.76 ล้านคน ในปี 2562 คาดว่าจะเป็น 1.82 ล้านคน ในปีหน้า
ในงานจัดพื้นที่สาธิตศิลปหัตถกรรมและงานประดิษฐ์ไทย และมุมให้ร่วมกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้มาเยี่ยมชมได้สัมผัสความเป็นไทย ทั้งการสาธิตแกะสลักผักและผลไม้ การะบายสี ลงบนพวงกุญแจหน้ากากผีตาโขน การวาดภาพและเขียนอักษรไทยลงบนถุงผ้า
นอกจากนี้ยังมีโชว์แสดงนาฏศิลป์ไทย รวมถึงการแสดง ผีตาโขน ที่สามารถดึงความสนใจผู้ที่มาร่วมงานได้เป็นอย่างดี
หลังเสร็จงาน ได้ไปตามสถานที่สำคัญของญี่ปุ่น เริ่มจาก วัดโทไดจิ ตั้งอยู่ที่ เมืองนารา โบราณสถานเก่าแก่ที่มี นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนเป็นจำนวนมาก ด้วยความอลังการของวิหารไม้หลังใหญ่ ที่ยิ่งใหญ่จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ก่อนเดินเข้าไปในพื้นที่วัดมีฝูงกวางเดิน ออกมาปะปน รอคอยอาหารจาก นักท่องเที่ยว บางตัวยืนนิ่งให้ถ่ายรูปเซลฟี่ และถ่ายรูปคู่ สร้างความตื่นตาให้กับผู้มาเยือนไม่น้อย
ขณะที่ด้านในวิหารไดบุตสึเดน ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ “ไดบุตสึ” หรือ หลวงพ่อโต สร้างด้วยบรอนซ์ ในปางนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระพาหา พระหัตถ์ขวาอยู่ในท่ามุทรา องค์พระมีความสูง 14.98 เมตร หนักประมาณ 500 ตัน สร้างเสร็จในปีค.ศ.752
ถัดจากองค์หลวงพ่อโต มีพระพุทธรูปไม้ 2 องค์ที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ ประดิษฐานอยู่ เมื่อเดินมาตามเส้นทางที่ทางวัดจัดให้จะพบแบบจำลองของวัดที่แสดงถึงความยิ่ง ใหญ่อลังการ และความสำคัญของวัดแห่งนี้
จนถึงจุดใกล้ทางออกวิหาร จะพบไฮไลต์คือ เสาไม้ยักษ์ ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ตรงฐานเสาจะมีช่องขนาดที่ไม่ใหญ่มากให้นักท่องเที่ยวลอดผ่าน โดยมีความเชื่อที่ว่าหากใครสามารถลอดผ่านช่องนี้ได้ จะได้กลับมาเยือน ที่วัดนี้อีกครั้งในอนาคตข้างหน้า และจะตรัสรู้ได้ในชาติหน้า
จากวัดโทไดจิ นั่งรถต่อไปที่เกียวโต อดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่น ตรงไปที่วัด คิโยะมิซุ (วัดน้ำใส) ตลอดสองข้างทาง นอกจากตึกรามบ้านช่องในรูปแบบสมัยใหม่แล้ว เมืองนี้ยังหลงเหลือความเก่าแก่ของบ้านเรือน ที่แสดงออกถึงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมญี่ปุ่น
เช่นเดียวกับทางขึ้น และโดยรอบวัดคิโยะมิซุ ที่มีร้านค้า และร้านขายของที่ระลึก ซึ่งคงรูปแบบบ้านสมัยเก่า เหมือนพาย้อนไปในยุคเก่า เป็น รูปแบบการขายสินค้าที่น่าสนใจ และน่านำมาประยุกต์ใช้กับสถานที่ท่องเที่ยวในบ้านเราอย่างมาก
สำหรับ วัดคิโยะมิซุ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่มีคนไทยเดินทางมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งสถาปัตยกรรมที่สวยงามของวัดแห่งนี้ ทำให้ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก
จากประวัติระบุว่า วัดคิโยะมิซุสร้างขึ้นใน ค.ศ.780 ที่มาของชื่อวัดน้ำใส มาจากมีน้ำเกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะที่ไหลผ่านตัววัด
จุดเด่นของวัดแห่งนี้ นอกจากอาคารไม้ขนาดใหญ่ ที่สร้างโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว ตั้งตระหง่านอยู่บนขุนเขา โดยโถงอาคารที่ยื่นออกไปภายนอก ทำให้เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นความสวยงามของเมืองเกียวโต และยังเป็นจุดชมซากุระและใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อ
และอีกหนึ่งกิจกรรม ที่น่าสนใจของ วัดน้ำใส คือการต่อแถวดื่มน้ำจากน้ำตกโอโตวะ ที่อยู่ด้านล่างของศาลาวัดน้ำใส โดยเป็นแม่น้ำ 3 สาย แต่ละสายจะมีประโยชน์ที่ต่างกัน ได้แก่ อายุยืน, ประสบความสำเร็จในการเรียน และชีวิตคู่
สำหรับขั้นตอนการดื่มน้ำ นักท่องเที่ยวต้องต่อคิวตักน้ำบนศาลาเท่านั้น ห้ามลงไปตักที่ด้านล่าง โดย ใช้กระบวยที่ทางวัดเตรียมไว้ รองน้ำที่ไหลลงมา แล้วเทลงฝ่ามือเพื่อดื่ม สัมผัสเย็นชื่นของน้ำที่ไหลลงมาโดยธรรมชาติ
เดินชมวัดน้ำใส ในวันฝนพรำจนครบทุกซอกมุม
นั่งรถไปต่อที่วัดคินคะคุจิ หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ วัดทอง ด้วยความสวยงามของวัดแห่งนี้ ทำให้ได้รับเลือกขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเช่นเดียวกัน
จากประวัติ วัดแห่งนี้เดิมที ถูกสร้างมาเพื่อเป็นที่พำนักของโชกุนอาชิกาก้า โยชิมิตสึ และมีไว้รับรองแขกระดับสำคัญๆ แต่ภายหลังโชกุนเสียชีวิต ได้ยกที่พักแห่งนี้ให้กลายมาเป็นวัดในนิกายเซน
ทันทีที่เห็นวัดตั้งตระหง่านมลังเมลืองบน บึงน้ำ ล้อมรอบด้วยสวนสไตล์ญี่ปุ่น โบราณ เงาสะท้อนทองอร่ามสาดส่องในน้ำนิ่งแม้จะเป็นช่วงเย็นย่ำแต่ก็ยังคงความ สวยงาม
สำหรับวัดคินคะคุจิ สร้างขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความหรูหราของวัฒนธรรมคิตายาม่า ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงที่มั่งคั่งของเกียวโตในสมัยของโยชิมิตสึ ในแต่ละชั้น สร้างขึ้นโดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมที่ต่างกัน
ชั้นแรกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบชินเด็น ซึ่งใช้สำหรับการก่อสร้างอาคาร ของราชวังในสมัยเฮอัน ส่วนชั้นที่สอง สร้างขึ้นโดยใช้แนวสถาปัตยกรรมบัคเค เป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้ในการสร้างที่อยู่อาศัยของซามูไร ภายนอกตกแต่งโดย ปิดแผ่นทองคำเปลวจนเป็นสีทอง
ชั้นที่สามชั้นสูงสุด ใช้สถาปัตยกรรมแบบนิกายเซนของจีน ปิดทองทั้งภายนอกและภายในเช่นกัน ขณะที่ส่วนบนยอดอาคารมีรูปปั้นหงส์ทองคำยืนอยู่
อาคารต่างๆ ของวัดที่เดินผ่าน ไม่ได้เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมภายใน แต่ความสวยงาม และระเบียบที่จัดให้นักท่องเที่ยวเดินชม วัดทองถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ทำให้ผิดหวัง
วัด 3 แห่งที่ไปเยือน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเสน่ห์ในแบบญี่ปุ่น ซึ่งในภูมิภาคคันไซ ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ยังมีอีกหลากหลายสถานที่ให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชม และสัมผัสวัฒนธรรมที่เก่าแก่ และมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว
เรื่อง-ภาพโดย นพพล สันติฤดี