เยือนนครเวนิซ-อิตาลีดินแดนสุดโรแมนติก : หลากหลาย
เยือนนครเวนิซ – ถือเป็นสวรรค์ของการลาพักร้อน เมื่อได้ตะลอนทัวร์อิตาลี เยือนนครเวนิซสมใจอยาก
ตั้งต้นจากเมืองมิลาน นั่งไฮสปีดเทรนไปลงที่สถานีเวเนเซียซานต้าลูเซีย ราว 2 ชั่วโมงครึ่ง รถไฟก็พาข้ามทะเลมาจอดป้ายเวนิซ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องเดินข้ามสกาล์ซี่บริดจ์(scalzi) สะพานแห่งแรกที่จะพาเข้าสู่เมืองซึ่งสูงและชันมาก ใครใช้กระเป๋าลากใบใหญ่กระอักแน่นอน
หลังจากเข้าที่พัก จ่ายค่าเหยียบเมืองคนละ 2 ยูโร หรือราว 70 บาทเสร็จ เราก็ออกลุยทันที
ราวพันปีก่อน เวนิซเคยเป็นเมืองท่าการค้าอันรุ่งเรืองของยุโรป เห็นได้จากสถาปัตยกรรมโบราณริมน้ำสวยอลังที่กระจายอยู่ทั่วเมือง จนยูเนสโกยกให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี 1987 ปัจจุบันมีคนอาศัยอยู่ราว 3 แสนคน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเกาะ 118 แห่ง ลอยปริ่มๆ อยู่เหนือระดับน้ำทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) เพียง 1 เมตรเท่านั้น
ที่น่าตื่นเต้นคือหลังเรากลับเมืองไทยแค่อาทิตย์เดียว เวนิซถูกน้ำท่วมเกือบ 2 เมตร สูงสุดในรอบ 53 ปี แถมมีคนตายด้วย เรียกว่าเรารอดมาได้แบบหวุดหวิด
สภาพเมืองที่เป็นเกาะทำให้เวนิซเชื่อมด้วยคลองและสะพานเล็กๆ กว่า 400 แห่ง แทบจะไม่มีถนนให้เห็น จึงต้องใช้เรือเมล์และการเดินเท้าเป็นหลัก
ถ้าเดินแล้วหลงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมีซอกซอยย่อยยิบราว 2 พันแห่ง
ส่วนตึกรามบ้านช่องโทนสีส้มแดงที่ผนังเริ่มผุกร่อน ทำให้เมืองดูมีสตอรี่น่าค้นหาไม่น้อย สถาปัตยกรรมอย่างโบสถ์ พระราชวัง ที่ออกแบบในสไตล์ฝรั่งปนแขก ทั้งโกธิก, ไบแซนไทน์และออตโตมัน ทำให้เวนิซสวยมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร
สังเกตได้ชัดจากบานประตูหน้าต่างอาคาร บ้านเรือน ที่สวยเก๋หลากหลาย จนเราต้องงัดกล้องมาถ่ายรูปเก็บภาพไว้ดูเป็นคอลเล็กชั่นเลยทีเดียว
จุดแรกที่ไปเช็กอินคือ เรียลอัลโต้บริดจ์(Rialto Bridge) สะพานสวยจากศตวรรษที่ 15 เป็นการออกแบบของไมเคิล แองเจลโล ตรงกลางมีหลังคาคลุม 2 ข้างทางมีแผงขายของที่ระลึกสารพัดชนิดให้เลือกซื้อ
เดินต่อมาอีกนิดจะเจอกับแกรนด์คาแนล (Grand Canal) คลองหลักขนาดใหญ่ที่ไหลผ่ากลางเมือง มองลงไปบนพื้นน้ำสีเขียวมรกตเห็นฝีพายเรือกอนโดล่า (Gondola) กำลังครวญเพลงพาคู่รักหนุ่มสาวล่องชมเมือง ทำเอาเราฟินอินเลิฟไปด้วยแบบไม่รู้ตัว
เดินลัดเลาะทางแคบๆ ไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีมาโผล่แถวๆ พิพิธภัณฑ์เรือและปืนใหญ่เวนิซ (Venetian Arsenal) ที่มีหอคอยนาฬิกาคู่ที่ดูโดดเด่นสวยงาม ที่นี่เคยเป็นย่านอุตสาหกรรมการต่อเรือสำคัญในศตวรรษที่ 13 ของเวนิซ แต่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรือโบราณ และผลงานทางศิลปะจากศิลปินชื่อดังทั่วโลก
เวลาไปเที่ยวเมืองนอกจะบอกตัวเอง เสมอว่าห้ามพลาดเดินตลาดสดท้องถิ่น เด็ดขาด เพื่อดูชีวิตการกินการอยู่ของคน ท้องถิ่น ครั้งนี้จึงไปปักหมุดที่เรียลอัลโต (Rialto Market) ตลาดเก่าแก่ภายใต้สถาปัตยกรรมโกธิกซุ้มประตูโค้งที่งดงาม จุดเด่นคืออาหารทะเลที่ชาวประมงจับขึ้นขายใหม่สดทุกวัน
เผลอแป๊บเดียวฟ้าใกล้มืด เลยต้องรีบเดินต่อไปยังจตัุรัสซานมาร์โก้กลางเมือง ย่านแฮงเอาต์ของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ที่รายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ มากมาย
ที่สำคัญยังเป็นที่ตั้งของมหาวิหารเซนต์มาร์ก(St. Mark’s Basilica) อันงดงาม โบสถ์สไตล์ผสมผสานแบบไบแซนไทน์ โรมันเนสก์ เรอเนซองส์ และอาหรับที่มีโดม 5 ยอดคล้ายกับสุเหร่าของชาวมุสลิม
ด้านหนึ่งของวิหารเชื่อมกับพระราชวัง ดอจส์ (Doges Palace) วังของดยุกเวนิซ สไตล์โกธิกในศตวรรษที่ 9
ด้านหนึ่งของวังเชื่อมด้วยสะพาน ซุ้มโค้งสีขาว ที่โด่งดังไปทั่วโลกในนาม สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sigh) ที่เชื่อมจากวังสู่คุกใต้ดินฝั่งตรงข้าม ในอดีตมีไว้ให้นักโทษใช้เดินถอนหายใจข้ามไปเข้าคุกมืด แต่ปัจจุบันเกิดกระแสตีกลับ กลายเป็นจุดเช็กอินของคู่รักจากทั่วโลกที่ต้องล่องเรือกอนโดล่ามาจอดใต้สะพานยามพระอาทิตย์ตกเพื่อจุ๊บกัน เพราะเชื่อว่าความรักจะยืนยาวชั่วนิรันดร์
ใกล้ๆ กันมีร้านขายพิซซ่าและขนมอบร้านใหญ่กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก ดึงดูดให้เข้าจัดเต็มคนละชิ้นสองชิ้น
จากนั้นไปเดินตามหา FLORIAN ร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอายุเกือบ 300 ปีที่เปิดขายมาตั้งแต่ปี 1720 อดีตเคยเป็น จุดนัดพบของชนชั้นสูงของชาวเวนิซ ซึ่งรวมไปถึง Casanova นักเขียนและ รักบันลือโลกชาวเวนิซด้วย
บรรยากาศในร้านตกแต่งสไตล์หรูหราคลาสสิค บริกรทุกคนสวมสูทเรียบกริ๊บ มองไปในร้านเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นพวกไฮโซโบราณมานั่งจิบกาแฟย้อนอดีตกัน ถือเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ทั่วโลก
เวนิซยังได้รับสมญานามว่า มหานครแสงสว่าง จึงไม่พลาดที่จะเดินไปซึมซับบรรยากาศเมืองที่ถูกประดับด้วยแสงไฟระยิบระยับที่สะพาน Academy(Ponte dell Accademia) มองไปในเวิ้งน้ำเห็นมหาวิหาร Santa Maria della Salute โบสถ์สไตล์บาโร้กตั้งตระหง่านอยู่ตรงปากแกรนด์คาแนล บริเวณออกสู่ทะเลสาบสวยงดงามเกินบรรยายจริงๆ
หลังจากชมเวนิซเกือบครบทุกแลนด์มาร์กแล้ว ตัดสินใจนั่งเรือเมล์ออกไปเที่ยว 2 เกาะที่อยู่ใกล้ๆ
ใช้เวลาเพียง 20 นาทีก็มาถึงเกาะแรกคือ มูราโน เกาะขนาดเล็กกลางทะเล ซึ่งอดีตเคยเป็นศูนย์กลางการทหาร แต่ต่อมา กลายเป็นแหล่งผลิตแก้วชั้นดีอันโด่งดังของเวนิซมาจนถึงปัจจุบัน มีโรงงานผลิตข้าวของเครื่องใช้ที่ทำมาจากแก้วให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชมและช็อปเป็นของฝากหลากหลายสไตล์
จากนั้นนั่งเรือต่อไปอีกราว 20 นาที มาลงที่เกาะบูราโน (Burano) 1 ใน 10 เกาะที่มีสีสันสดใสที่สุดในโลก จนกลายสวรรค์ของนักถ่ายภาพ ที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตผ้าลูกไม้ด้วยมือ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนส่งออกไปขายทั่วยุโรป เพราะสมัยอดีตสามีชาวประมงจะออกหาปลา ส่วนภรรยาก็อยู่เกาะนั่งถักนั่งปักผ้าอยู่กับบ้าน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมผ้าลูกไม้สวยๆ ได้ที่พิพิธภัณฑ์ลูกไม้ในเมือง (Lace Museum)
หลังจากเดินหามุมหมู่บ้านประมงสีลูกกวาดถ่ายรูปรัวๆ เสร็จ ก็แวะทานมื้อกลางวันบนเกาะที่ร้าน Galuppi มื้อนี้จัดเต็มด้วยอาหารทะเลในเมนูสปาเกตตีหอยจิ๋วซอสหมึกดำ กินคู่กันขนมปัง ชีส และสลัดผัก อร่อยล้ำลืมไม่ลง นั่งพอหายอิ่มก็ถึงเวลาต้องไปขึ้นเรือกลับที่พักบนเกาะเวนิซที่สุดแสนโรแมนติก
ใครคิดจะเที่ยวเวนิซอย่าคิดนาน เพราะว่ากันว่าปลาย ศตวรรษหน้ามันอาจจะหายไปจากแผนที่โลก เพราะน้ำท่วม ถ้าไม่ไปเสียดายแย่