คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ปมที่กรณีการจัดซื้อ เรือดำน้ำ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงโจมตีเป็นอย่างสูง เน้นไปยังประเด็นเกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญ
การจัดสรรงบประมาณให้ กองทัพเรือ นั้นจำเป็น
เพราะไม่เพียงแต่กองทัพบกก็ได้มาแล้ว เพราะไม่เพียงแต่กองทัพอากาศก็ได้มาแล้ว ก็ควรแบ่งปันไปยังกองทัพเรือด้วย
ข้อสนับสนุนก็คือ ความสมดุลในด้าน งบประมาณ
แต่ที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ หรือ ทีดีอาร์ไอ และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย)
รู้สึกข้องใจ กลับเป็นการจัดลำดับความสำคัญ
ความหมายก็คือ ยังไม่เห็นความจำเป็นของ เรือดำน้ำ
แม้ว่าเวียดนามจะมีถึง 6 ลำ แม้ว่าสิงคโปร์จะมีถึง 3 ลำ แต่ก็ยังไม่มีเบาะแสอะไรบ่งชี้ในเรื่องสงครามที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้
จะเห็นก็แต่ที่ คาบสมุทรเกาหลี เท่านั้น
ความจริงข้อสังเกตในเชิงไม่เห็นด้วยกับการซื้อยุทโธปกรณ์ไม่ว่าจะต่อกองทัพบก ไม่ว่าจะต่อกองทัพเรือ
เป็นข้อสังเกตในเรื่องของความเหมาะสม
อย่างเช่นการซื้อรถถังก็ไม่แน่ว่าสอดรับกับสภาพสงครามหรือไม่
เมื่อมาถึง เรือดำน้ำ ยิ่งทำให้เกิดความคลางแคลงใจ เพราะไม่แน่ว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดต่ออ่าวไทยหรือแม้กระทั่งทางด้านทะเลอันดามัน
การรบในยุคต่อไป คือ ข้อเปรียบเทียบอย่างแหลมคมยิ่ง
กลายเป็นว่า รถถังที่ซื้อมาจากยูเครนก็ดี ซื้อมาจากรัสเซียก็ดี นอกจากบทบาทในตอนทำรัฐประหารแล้ว
ก็คือ การนำออกมาให้เด็กได้ชื่นชมในวันเด็ก
ขณะที่เรือก็โดดเด่นให้กับ ปะการัง และ เพรียง
ท่าทีของสังคมต่อยุทโธปกรณ์ของกองทัพไม่ว่ากองทัพบก ไม่ว่ากองทัพเรือ ไม่ว่ากองทัพอากาศ เช่นนี้ยิ่งนับวันยิ่งกลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
1 สะท้อนสายตาที่มองไปยังกองทัพ ไปยังทหาร
ขณะเดียวกัน 1 สะท้อนภาพลักษณ์ สะท้อนทัศนคติและบทสรุปซึ่งมีต่อทหารและต่อกองทัพว่าดำเนินไปอย่างบิดเบี้ยว น่าเป็นห่วง
ทั้งๆ ที่ในห้วง 1 ทศวรรษหลังทหารเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างสูง
โดยนับจากบทบาทนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ต่อเนื่องมายังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
แทนที่จะเป็น ความหวัง กลับอยู่ในจุด ไม่ไว้วางใจ
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องกลับตาลปัตรอย่างน่าใจหาย เมื่อฟังเสียงจากบรรดาผู้นำเหล่าทัพที่อยู่ในวงการเมือง
ท่านเหล่านี้ล้วนยืนยันในความเสียสละมาทำงานเพื่อชาติ ทำงานเพื่อประชาชน แม้จะเกษียณจากราชการมาแล้ว แม้บางคนอายุมากกว่า 60 และ 70 ปี
แต่กลับได้บำเหน็จเป็นความคลางแคลงและสงสัยในเจตนา