รีเจ้นท์โฮม ลุยสร้างคอนโดราคา 1.2 ล้าน ชี้เศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งขายดี แห่ซื้อของถูก ยอดปฏิเสธสินเชื่อแทบไม่มี เผย “จีน-พม่า” แห่ช้อป
วันที่ 2 เม.ย. 2567 นายนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีเจ้นท์ กรีน เพาเวอร์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ รีเจ้นท์ โฮม เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนจะสร้างคอนโดมิเนียมปีละ 10,000 ยูนิต ราคาไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อยูนิต ในทำเลไม่ไกลจากรถไฟฟ้ามาก เพื่อรองรับกลุ่มกำลังซื้อระดับกลาง-ล่าง ที่มีรายได้ไม่สูงมาก โดยโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ทำให้สามารถพัฒนาได้ในราคาถูก
นายนิรัตน์ กล่าวอีกว่า ในปี 2567 มีเปิด 4 โครงการ จำนวน 4,000 ยูนิต ที่วงศ์สว่าง 2,000 ยูนิต สุขุมวิท 93 ประมาณ 1,000 ยูนิต พหลโยธิน 52 เฟส 2 ประมาณ 400 ยูนิต และหัวหมากประมาณ 300 ยูนิต เป็นเฟสต่อขยายจากเดิม และเตรียมงบ 5,000 ล้านบาทสำหรับซื้อที่ดินเพิ่มจากปัจจุบันมีแลนด์แบงก์สามารถพัฒนาได้ 20,000 ยูนิต
นายนิรัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนปี 2568 จะเปิดที่ย่านพระราม 4 เนื้อที่ 22 ไร่ เป็นอาคารสูง 35 ชั้น จำนวน 6-7 อาคาร รวมประมาณ 7,000 ยูนิต ขนาดพื้นที่ 26 ตารางเมตร ราคา 1.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ถ้าเทียบเป็นรายโครงการถือว่าเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ถ้าดูจำนวนยูนิตที่บางซ่อนจะใหญ่สุด เพราะมีถึง 9,000 ยูนิต ปัจจุบันปิดการขายไปแล้ว
“กลยุทธ์เราทั้งโครงการมีไซซ์เดียว 26 ตารางเมตร และขายราคาเดียวคือยูนิตละ 1.2 ล้านบาท ใครมาจองก่อนก็ได้ก่อน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาที่ดินด้วย อย่างที่พระราม 4 เราซื้อที่ดินมาตารางวาละ 3 แสนบาท ต้องทำขายในราคา 1.5 ล้านบาท ยังขายถูกกว่าโครงการที่อยู่ในย่านเดียวกัน”
นายนิรัตน์ กล่าวอีกว่า เราไม่ห่วงเรื่องการทำตลาด ทำมาเท่าไหร่ก็ขายได้ ยิ่งย่านสุขุมวิท เป็นแหล่งงาน และอยู่อาศัย ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย หรือที่วุฒากาศเปิดขายแล้วกว่า 3,000 ยูนิต ตอนนี้ขายได้ 80% กำลังหาที่ดินเพิ่มสร้างอีก 2,000 ยูนิต ขายราคายูนิตละ 1.2 – 1.3 ล้านบาท
“มองว่าตลาดยังไปได้ ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ดอกเบี้ยแพง ยิ่งขายดี เพราะคนต้องซื้อของถูก ต้นทุนกู้ก็จะน้อย เรื่องยอดถูกปฏิเสธสินเชื่อหรือรีเจ็กต์แทบไม่มี มีแค่ 5-10 ห้อง เพราะราคาถูก คนจึงมีกำลังซื้อและมีความสามารถในการผ่อน”
นายนิรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับลูกค้าของโครงการ จากเดิมซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นหลัก ตอนนี้สัดส่วนซื้อลงทุนปล่อยเช่าและอยู่อาศัยเองอยู่ที่ 50:50 เนื่องจากคอนโดฯ รีเจ้นท์ ซื้อราคา 1.2 ล้านบาท สามารถปล่อยเช่าได้ 7,000 บาทต่อเดือน และผู้เช่าเต็มตลอด ที่ผ่านมามีลูกค้าซื้อเพื่อลงทุนตามไปซื้อโครงการใหม่ประมาณ 20-30% และซื้อคนละ 2-3 ห้อง
นายนิรัตน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เริ่มมีลูกค้าเมียนมาหนีปัญหาการเมืองในประเทศมาซื้อแล้วที่บางนาและวุฒากาศ ประมาณ 100-200 ยูนิต จากเดิมเป็นลูกค้าชาวจีนที่จะให้โควตาซื้อ 40% โครงการที่บางนาและบางซ่อน ซึ่งเป็นการซื้อเพื่อลงทุนเป็นส่วนใหญ่
“ถามว่าคนมาใหม่มาทำเหมือนเราได้ไหม ไม่ได้ เพราะว่าในราคานี้ จะมีเรื่องค่าก่อสร้างแฝงอยู่ในนั้น ที่เราทำได้ เพราะได้กำไรจากการรับเหมา ได้จากการออกแบบให้ได้จำนวนเยอะและได้จากบีโอไอ เป็น 3 ส่วนรวมกันถึงอยู่ได้ แต่ผู้ประกอบการรายอื่นเขาได้ส่วนเดียวคือจากกำไร และแต่ละทำเลที่เราไป ไม่มีแป้ก”
นายนิรัตน์ กล่าวต่อว่า การทำคอนโดบีโอไอ ต้องลืมเรื่องกำไร มองว่าเราทำให้กับสังคม กำไรน้อย แต่เอาจำนวนมาก เราทำมา 40 โครงการ ร่วม 40,000 ยูนิต มีปรับแก้ไปเรื่อยๆ ตามปัญหา อย่างพื้นที่ส่วนกลางต้องมาเน้นให้มีพื้นที่รองรับ เพราะระดับ 7,000 ห้อง จำเป็นต้องมี เช่น ห้องเก็บพัสดุ ห้องปฐมพยาบาล โคเวิร์กกิ้งสเปซ เพราะคนโสดเยอะ
ที่มา : มติชนออนไลน์