พระสมเด็จกรุวัดบางขุนพรหม พิมพ์อกครุฑเศียรบาตร

 

“แทน ท่าพระจันทร์”

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ผมเขียนเรื่องมาหลายปี เขียนๆ ไปก็ซ้ำไปซ้ำมา เนื่องจากผมชอบและศึกษาแต่พระเก่าๆ ส่วนพระใหม่ก็ไม่ประสีประสากับเขา เรื่องราวที่เขียนคุยกันก็เลยมีแต่เรื่องพระกรุพระเก่า หรือพระเกจิฯ เก่าๆ ซึ่งเขียนมาหลายสิบปีก็เลยซ้ำไปซ้ำมา

วันนี้เอาเรื่องของท่าน พ.อ.สัญญา คล้ายจินดา มาอ่านดูก็นึกขำทุกทีที่ได้อ่านข้อเขียนของท่าน ผมเองชอบเรื่องที่ท่านเขียน ซึ่งเป็นการสะท้อนของสังคมวงการผู้นิยมพระเครื่อง ซึ่งท่านคร่ำหวอดอยู่ในสังคมนี้มายาวนาน ก็มีเรื่องสนุกๆ ที่ท่านได้นำมาเขียนเป็นคติเตือนใจไว้หลายเรื่องของคนในสังคมนี้ วันนี้ขอนำเรื่องบางเรื่องมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆ นะครับ

ในสมัยก่อนคนที่นิยมสะสมพระเครื่องและผู้ที่มีอาชีพซื้อ-ขายพระเครื่อง เขาก็จะเรียกกันว่าเป็น “นักเลงพระ” ฟังดูก็งงๆ สับสนระหว่างนักเลงกับพระยังไงก็ไม่รู้ ท่านอาจารย์สัญญาได้เคยเขียนบรรยายไว้ว่า คำว่า “นักเลงพระ” ท่านว่าเป็นคำนาม ขึ้นชื่อว่านักเลงย่อมเป็นที่เกรงกลัวไม่ว่านักเลงนั้นจะนักเลงดีหรือนักเลงร้าย

เพราะผู้ที่ไต่ขึ้นสู่ระดับนักเลงได้ ย่อมแพรวพราวไปทั้งตัวและมากประสบการณ์ ผ่านการตีรันฟันแทงมาโชกโชนทั่วเจ็ดย่านน้ำ คำว่านักเลงพระคำนี้ หากไม่เข้าใจอาจต้องถอยหลังไปตั้งหลักอีกสามก้าวเพื่อเตรียมฟาดกับผู้เป็นนักเลง ด้วยไม่แน่ใจว่าหมอนั่นเป็นนักเลงประเภทไหน นักเลงเป็นพระหรือพระเป็นนักเลง คิดเลยเถิดไปนู่น

แต่โดยความหมายของคำว่านักเลงพระนั้น ท่านหมายถึงคนใจถึง ใจเติบ ใจใหญ่ กล้าเทกระเป๋าสู้เพื่อแลกกับพระหรือเหรียญหลวงปู่ อีกทั้งยอมทุ่มเทหัวใจให้กับกาลเวลา เพื่อได้ลูบคลำพระและเหรียญ ดูและส่องพระได้ตั้งแต่ตะวันโผล่ขอบฟ้าถึงตะวันจมดิน อาจต่อเวลาเกินเลยไปจนฟ้าสางไก่โห่ ส่องแล้วส่องอีกอย่างชนิดยอมตายคาเลนส์ว่างั้นเถอะ

คุณคนนั้นหรือคนไหนก็ตามที่เป็นเช่นนี้ ท่านลงความเห็นว่าเป็นนักเลงพระเต็มตัวเรื่องพระ เรื่องเหรียญนั้นรู้ครอบจักรวาล ถามปุ๊บ ตอบปั๊บ อีกทั้งมีความชัดเจนเชิงประวัติความเป็นมาแห่งพระเครื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี ส่วนประเภทไม่รู้วัดก็ยัดวัดส่งเดชเป็นว่าเล่นนี่ก็นักเลงอีกประเภทหนึ่ง

นักเลงพระหาใช่นักเลงปืน นักเลงมีดมา แต่ไหนก็ไม่ดอก แต่ก็ไม่แน่นัก หากไม่ชอบมาพากล ไม่เป็นที่สบอารมณ์พ่อขึ้นมาเมื่อไหร่ก็น่าดู อาจสำแดงเดชกลายเป็นนักเลงตีนโตขึ้นมาจริงๆ เมื่อใดก็ได้ใครจะรู้ เคยเห็นนักเลงพระกลายเป็นครูมวยเตะไม่เลือกที่เลือกเวทีมาก็หลาย

เขาว่านักเลงพระนั้นใช้สมองเปลือง อีกทั้งสมองนั้นก็ช่างเต็มไปด้วยเสนาธิการเดินกันให้ขวักไขว่ วางแผนกันให้วุ่นวี่วุ่นวายเพื่อจะได้พระองค์นั้นจากคนนี้เหรียญนี้จากคนนู้น หลับแล้วมือยังก่ายเกยไม่กระดิกกระเดี้ยที่หน้าผาก ด้วยคิดหนัก คิดและก็คิดจะสะดุ้งด้วยสงสัยอยู่ครามครันว่า พระที่ได้เมื่อวานนี้จะเก๊หรือเปล่าน้อ มีปัญหามากมายเข้ามาแทรกซ้อน ราคาก็แพงซะด้วย หากเกิดพลาดพลั้งเสียตัวให้กะไอ้หมอนั่นอย่างที่คิด จะตะเกียกตะกายซมซานเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน เรื่องนี้ไม่มีคำตอบจากสวรรค์ครับนักเลง

คำว่า “นักเลงพระ” ในสมัยก่อนก็มักมาควบคู่กับ “สนามพระ” ยังกับสนามม้าสนามมวยยังไงยังงั้น ต่อมาเปลี่ยนคำเรียกนักเลงพระเสียใหม่ว่า “เซียนพระ” สนามพระก็กลายเป็น “ศูนย์พระเครื่อง” ให้ดูดีมีราคาขึ้นซะหน่อย เอแล้วเซียนพระมันคืออะไร

“เซียน” คือเทวดาจีน ล่องลอยไปไหนมาไหนได้ทั่วทุกแห่งหนบนพื้นนภากาศ ด้วยมีเมฆหมอกเป็นพาหนะบังคับให้ไปทางไหนที่ต้องการได้ตามใจชอบ แต่เซียนพระนั้นลอยไปไหนไม่ได้เช่นเซียนจีนผู้ขี่เมฆ แต่ก็ไม่แน่นักหากถูกอกถูกใจก็เด้งไม่รู้ตัว เซียนพระนั้นมีเฟอร์นิเจอร์มากมายตกแต่งหรูหราด้วยเสื้อผ้ารุ่มร่ามราคาแพงอีนุงตุงนัง เป็นเครื่องหมายบ่งถึงตำแหน่งแห่งที่ว่าตูคือเซียนชั้นเสนาบดี ส่วนตูคือเซียนระดับกระจอกงอกง่อยเช่นเดียวกับเมืองมนุษย์ ขีดความสามารถของเซียนนั้นก็มีมากมายเหลือหลาย แจ้งฟ้าจบดิน หลับตาก็บอกได้สารพัดว่าพระนั้นวัดไหนใครสร้าง เพราะท่านเป็นเซียนปัญญาชน เซียนนั้นมักจะเคร่งขรึมเป็นไอ้เสือยิ้มยากเต๊ะท่าเอาการอยู่ การเคลื่อนไหวรึก็มีลีลาชั้นเชิงดังสีหราช บอกแล้วว่าเซียนนั้นพูดน้อยจะอ้าปากเอื้อนเอ่ยแต่ละคำพูดช่างยากเข็ญ การเอาพระไปให้เซียนท่านตรวจสอบสภาพก็ต้องหาจังหวะ เพราะเซียนส่วนมากขี้โมโห โกรธง่ายหงุดหงิดผิดมนุษย์มนา ขัดคอเป็นได้เรื่อง

เซียนนั้นมองพระมองเหรียญก็มักจะมองไม่ค่อยจะเต็มตาเท่าใดนักเพียงแค่ชายหางตาแต่น้อยๆ ก็รู้แล้วว่าเก๊ เซียนนั้นมีอยู่หลายระดับ ระดับอัจฉริยะ ระดับพิเศษ ระดับปกติธรรมดา ระดับที่ผิดปกติเซียนไม่เต็มบาท ท้ายสุดเซียนปัญญาอ่อน เซียนสองประเภทแรกนั้นเป็นเซียนที่เชื่อถือได้ แข็งนอกแข็งใน รู้บอกรู้ ไม่รู้บอกไม่รู้ ส่วนเซียนสองประเภทหลังนี้ผิดบ้างถูกบ้าง บางครั้งก็พูดก็พ่นส่งไปตามประสาเซียน เห็นพระรูปร่างแปลกๆ หน่อยก็ตีเป็นเขมรไปเลย เซียนประเภทนี้ทำให้นักพระเครื่องต้องเสียของมามากแล้ว เมื่อมีคนถามก็ต้องทำท่าว่าข้ารู้ ไอ้ครั้นว่าจะตอบว่าไม่รู้ก็จะเสียเชิงเซียน เซียนประเภทนี้แข็งนอกอ่อนใน บางเวลาก็แอบร้องไห้เพราะโดนทุบมาก็มาก บ้างก็ขโมยลาออกจากความเป็นเซียนไปก็มาก

ครับวันนี้ก็นำเรื่องของอาจารย์สัญญา คล้ายจินดา ที่ท่านเคยเขียนไว้ มาคุยกันสนุกๆ ฮาๆ คงไม่ว่ากันนะครับ และขอนำรูปพระสมเด็จกรุวัดบางขุนพรหม พิมพ์อกครุฑเศียรบาตร องค์สวยมาให้ชมไปพลางๆ ก่อนนะครับ

ด้วยความจริงใจ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน