หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร วัดป่าวังเลิง อ.กันทรวิชัย : อริยะโลกที่ 6

โดย เชิด ขันติ ณ พล

หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร วัดป่าวังเลิง อ.กันทรวิชัย : อริยะโลกที่ 6 – “หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร” วัดป่า วังเลิง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เป็นพระกัมมัฏฐานอีกรูปแห่งภาคอีสาน ที่มีวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบครองตนอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์

หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร

หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร

แม้จะละสังขารไปนานนับสิบปี แต่ศิษยานุศิษย์ ยังคงให้ความเคารพบูชาในคุณงามความดีของหลวงปู่

โดยจะรู้กันว่าทุกวันที่ 20 เม.ย.ของ ทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันมรณภาพ จะพากันมาร่วมทำบุญใหญ่ที่วัดป่าวังเลิง เพื่อน้อมรำลึกถึงคุณงามความดี

มีนามเดิม บุญมี สมภาค ถือกำเนิดเมื่อวันศุกร์ที่ 14 ต.ค. 2453 ณ บ้านขี้เหล็ก อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ เป็นบุตรคนเดียวของพ่อทำมา-แม่หนุก สมภาค ครอบครัวมีอาชีพทำไร่ทำนา ฐานะค่อนข้างจะยากจนเหมือนกับชาวอีสานทั่วไป

ชีวิตช่วงวัยเด็กของหลวงปู่ เป็นคนใฝ่เรียนรู้ อ่อนโยน มีเรื่องเล่าว่า ช่วงที่อายุ 8-9 ขวบ ได้ออกไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายอยู่กับเพื่อนกลางทุ่งนา

เก็บภาพพระพุทธรูปได้ จึงนำมาไว้ดูและเกิดแรงศรัทธาที่แรงกล้า จึงนำดินเหนียวมาปั้นเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ไว้บูชาที่บ้าน

ย่างเข้าสู่วัยรุ่นอายุได้ 17 ปี บรรพชาที่วัดบ้านท่าขี้เหล็ก ได้ปีเศษ มารดาสุขภาพไม่ดี จึงต้องสึกออกมาดูแลบุพการี

จนอายุได้ 21 ปี จึงอุปสมบทจำพรรษาอยู่ที่วัดในหมู่บ้าน โดยมีพระอาจารย์สิงห์ มีศักดิ์เป็นหลวงน้า ดำเนินการให้บวชในสายมหานิกาย แต่ด้วยจิตใจอยากเรียนด้านปริยัติธรรม แต่ไม่สะดวก เพราะสำนักเรียนวัดเลียบ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เป็นวัดธรรมยุต จึงต้องญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุต

หลวงปู่บุญมี จึงต้องอุปสมบทใหม่ในปี พ.ศ.2474 โดยมีพระศาสนดิลก เจ้าอาวาสวัดเลียบ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาสว่าง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา “สิริธโร”

ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนสอบนักธรรม ตรี โท เอก ด้วยความมุ่งมั่นอยากศึกษาพระธรรมวินัยที่ลึกซึ้งสูงขึ้น ในปี พ.ศ.2479 จึงเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร เรียนที่สำนักวัดปทุมวนาราม สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค

จากนั้นจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและออกเดินธุดงควัตร เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วภาคอีสาน

หลวงปู่พระมหาบุญมี เป็นพระในยุคเดียวกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ถึงแม้ตลอดเวลาการเดินธุดงควัตรของหลวงปู่จะไม่เคยพบกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แต่เคยได้รับฟังธรรมะของพระอาจารย์ใหญ่ ทำให้เกิดกำลังใจในการบำเพ็ญเพียรภาวนา

สำหรับคำสอนที่หลวงปู่ที่พร่ำสอนศิษยานุศิษย์เน้นเรื่องของกรรม หลวงปู่ว่า “ทุกคนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งบุญทั้งบาป”

ย้ำเสมอว่าเรื่องกรรมไม่ใช่เรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องจริงขอให้เชื่อในกฎแห่งกรรม “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

นอกจากนี้ ยังมีคำสอนผญาธรรมภาษาอีสานที่น่าสนใจ เช่น “เทียวทางโค้งหนทางมันนานฮอด มัวเก็บบักหว่า มันสิซ้าคำทาง” ล้วนเป็นคำสอนที่ลึกซึ้งให้คติเตือนใจ ใช้ในชีวิตประจำวันได้

ตลอดชีวิตเดินธุดงควัตรและจำพรรษาอยู่ในวัดเขตพื้นที่ภาคอีสานหลายวัด เช่นวัดห้วยทราย จ.มุกดาหาร วัดคำม่วง จ.อุดรธานี วัดป่าหนองบัว จ.สกลนคร เป็นต้น

และสุดท้ายในปี พ.ศ.2533 ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าวังเลิง จ.มหาสารคาม

บุกเบิกพัฒนาสร้างวัดป่าวังเลิง แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความไม่เที่ยงของสังขาร หลวงปู่มหาบุญมีเริ่มมีอาการอาพาธบ่อยครั้ง

สุดท้ายมรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 20 เม.ย.2535 รวมอายุ 81 ปี พรรษา 61

ภายหลังหลวงปู่มรณภาพ ศิษยานุศิษย์ชาวอีสานได้ร่วมกันก่อสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่มหาบุญมีขึ้น ภายในมีการจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารต่างๆ จัดไว้เป็นหมวดหมู่ มีประวัติ ภาษิตคำสอน เครื่องใช้ประจำวัน หนังสือธรรมะ และอัฐบริขาร 8 จัดแสดงไว้ให้ลูกศิษย์ได้น้อมรำลึกถึง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน