อาลัย‘หลวงปู่แสน ปสันโน’ วัดบ้านหนองจิก ศรีสะเกษ

คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6

ศิริเกษ หมายสุข

อาลัย‘หลวงปู่แสน ปสันโน’ – “หลวงปู่แสน ปสันโน” พระเกจิชื่อดังแห่งอีสานใต้ที่เล่าขานกันว่าทรงคุณพุทธาคมเข้มขลัง แห่งวัดบ้านหนองจิก หมู่ 2 ต.ภูฝ้าย อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ

มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดและเปี่ยมด้วยคุณธรรม เป็นที่พึ่งของชาวบ้านและสาธุชนโดยทั่วไป มีจิตที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ชื่อเสียงเป็นที่รับรู้กันทั่ว ได้รับสมญานาม เทพเจ้าแห่งเขาภูฝ้ายใกล้ชายแดนเขมร

ท่านยังเป็นพระนักปฏิบัติ ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้คน บูรณะและพัฒนาศาสนสถานต่างๆ มาโดยตลอดจวบจนปัจจุบัน

มีนามเดิมชื่อ แสน คุ้มครอง เกิดบ้านโพรง ต.ไพรบึง อ.ขุขันธ์ จ.ขุขันธ์ (ปัจจุบัน ต.ไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ) เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2450 เป็นบุตรของพ่อเอี้ยง และแม่ผัน คุ้มครอง มีพี่น้องรวม 6 คน

เมื่อครั้นยังเด็ก ท่านเป็นลูกศิษย์อยู่ที่วัดบ้านโพรงและพี่ชาย ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านโพรงในสมัยนั้น ให้การเลี้ยงดู เรียนจบชั้น ป.4

ต่อมาได้บรรพชาที่วัดบ้านโพรง ระหว่างบวชเณรได้ไปศึกษาเรียนหนังสือกับหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอใต้ พระเกจิชื่อดัง ทั้งได้ศึกษาตำราพระเวทจากหลวงพ่อมุมทั้งภาษาขอมและภาษาธรรมบาลีอีกด้วย

เดินทางไปมาระหว่างบ้านปราสาทเยอใต้และบ้านโพรง

กระทั่งอายุ 21 ปี เข้าพิธีอุปสมบท และยังคงเรียนวิชากับพระอาจารย์มุมอย่างต่อเนื่อง

ครั้นอายุ 24 ปี ได้ลาสิกขาเพื่อมาช่วยงานทางบ้านที่มีฐานะยากจน ได้เป็น “หมอธรรม” (ภาษาพื้นบ้านอีสาน หมายถึง ผู้เรียนคาถาอาคมทางพุทธเวทและไสยเวท อาจเป็นฆราวาสหรือพระภิกษุ ที่ปฏิบัติตัวอยู่ในคุณธรรม มีศีลมีธรรม และช่วยเหลือผู้คนในชุมชนจนเป็นที่เคารพนับถือ)

ยามเว้นว่างจากการทำเกษตรกรรม ก็ชักชวนเพื่อนหมอธรรมด้วยกันเดินทางไปเขมร เพื่อศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติม ได้พบพระผู้ใหญ่และพระอาจารย์จากทางกัมพูชามากมาย โดยจะเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือและรักษาผู้คนเท่านั้น

เมื่อหมดภาระทางบ้าน กลับเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง โดยไปจำพรรษาที่บ้านกุดเสล่า อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ แต่ยังคงปฏิบัติธุดงค์ มักออกธุดงค์ไปตามเทือกเขาพนมดงรักเป็นนิจ ต่อมาหลวงตาวัน สหธรรมิกรุ่นน้องได้ไปกราบนิมนต์ให้มาช่วยสร้างวัด โดยเจ้าคณะอำเภอกันทรลักษ์ อนุญาตให้หลวงปู่แสนไปอยู่ที่วัดอรุณสว่าง วราราม (วัดบ้านกราม) แต่ด้วยรักสมถะ ปีต่อมาจึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์โนนไทย (วัดกูไทยสามัคคีในปัจจุบัน) อยู่ถึง 3 ปี

กระทั่ง เห็นสภาพวัดบ้านหนองจิก ที่จะกลายเป็นวัดร้าง เนื่องจากมีพระภิกษุจำพรรษาน้อยและไม่มีผู้ดูแลพัฒนา ท่านจึงย้ายจากสำนักสงฆ์โนนไทย ไปจำพรรษาที่วัดบ้านหนองจิกและทำนุบำรุงวัดจนวัดมีพระเข้ามารับช่วงต่อ จำพรรษาอยู่เป็นเวลา 4 ปี โยมญาติจากวัดบ้านโพรง ที่ท่านบวชเป็นสามเณร เดินทางมานิมนต์ให้ไปจำพรรษาเพื่อช่วยพัฒนา

ซึ่งก็ได้รับความเมตตาไปจำพรรษาที่วัดบ้านโพรง ทำนุบำรุงวัดจนเจริญขึ้น

อายุย่างเข้า 93 ปี ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดใน ช่วงนั้น จนเมื่อหลวงปู่แสน อายุ 97 ปี ลูกหลานเป็นห่วงสุขภาพ จึงพาชาวบ้านไปนิมนต์กลับมาจำพรรษา ที่วัดบ้านหนองจิก จนถึงทุกวันนี้

การสร้างวัตถุมงคลของหลวงปู่แสน ไม่ได้จัดสร้างบ่อยนัก นานครั้งในวาระพิเศษ ส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ศิษย์ใกล้ชิด สร้างขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้วัตถุมงคลของท่านมีจำนวนไม่มากรุ่น แต่ได้รับความนิยมสูง อาทิ เหรียญเสมาครึ่งองค์หลวงปู่แสน รุ่นเจ้าสัวแสนนิยม, พระสมเด็จหล่อโบราณ รุ่นเจริญลาภ, พระกริ่งมหาโภคทรัพย์ เป็นต้น

อาลัย‘หลวงปู่แสน ปสันโน’

ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง หลวงปู่แสน ละสังขารอย่างสงบ เมื่อเวลา 22.24 น. คืนวันที่ 25 ก.ค.2562 ที่กุฏิภายในวัดบ้านหนองจิก อายุ 112 ปี

ก่อนหน้านี้มีอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระยะ ที่ 2 และป่วยด้วยโรคหัวใจ กระเพาะลำไส้ ปอดติดเชื้อ ญาติพี่น้อง และคณะศิษย์นำหลวงปู่ไปเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ ร.พ.กันทรลักษ์ และ ร.พ.ศรีสะเกษ มาอย่างต่อเนื่องหลาย เดือนแล้ว

ต่อมาพักรักษาอยู่ที่ตึกสงฆ์อาพาธ ร.พ.ศรีสะเกษ ซึ่งคณะแพทย์ให้การรักษาพยาบาลอย่างสุดความสามารถ แต่เนื่องจากหลวงปู่อายุมากแล้วและร่างกายอ่อนเพลียอย่างหนัก จึงนำหลวงปู่แสนกลับมาพำนักที่วัดบ้านหนองจิก กระทั่งมรณภาพ

คณะศิษย์และญาติพี่น้องต่างร่ำไห้ด้วยความอาลัย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน