การผนึกตัวรวมพลังระหว่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผ่านพรรครวมพลังประชาชาติไทย เป็นเรื่องดี
ยิ่งได้ นายประสาร มฤคพิทักษ์ เข้ามา ยิ่งได้ นายสุริยะใส กตะศิลา เข้ามา
ยิ่งเป็นเรื่องดี สมควรให้ความสนใจติดตาม
การที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยยื่นจดแจ้งต่อนายทะเบียนในวันที่ 25 พฤษภาคม แล้วคสช.อนุมัติให้เปิดประชุมใหญ่ได้ในวันที่ 3 มิถุนายน
อย่าไปตำหนิติฉินหรือนินทา แต่ควรทำความเข้าใจและมองอย่างตระหนักในสายสัมพันธ์อันดี
“คสช.” กับ “รปช.”
อย่าลืมคุณูปการของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะที่เคยเคลื่อนไหวเมื่อปลายปี 2556 ต่อต้นปี 2557
ไม่ว่าจะเป็นการ”ชัตดาวน์” หน่วยราชการ
ไม่ว่าจะเป็นการสกัด ขัดขวาง มิให้กระบวนการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ดำเนินไปด้วยความราบรื่น
หากไม่ทำเช่นนั้น “รัฐประหาร”จะราบรื่นได้อย่างไร
ขณะเดียวกัน อย่าลืมความเสียสละของ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ และ นายประสาร มฤคพิทักษ์ ที่ยินยอมเข้าไปเป็นสมาชิกสปช.
สปช.อันเป็น 1 ในแม่น้ำ 5 สายของคสช.
ยิ่ง นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ยิ่งเสียสละเข้าดำรงตำแหน่ง เป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปด้านการเมือง
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็น “มหา” คุณูปการต่อ “คสช.”
การเสียสละอีกครั้งเพื่อผลักดัน”พรรครวมพลังประชาชาติไทย” หรือ “รปช.”จึงสามารถเข้าใจได้
พลันที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยผงาดขึ้นมา นั่นหมายถึงการดำรงอยู่ของพรรคพลังประชารัฐไม่โดดเดี่ยว
ยิ่งหากผนึกรวมกับอีกหลายพรรค
ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาชนปฏิรูป พรรคพลังชาติไทย พรรค พลังธรรมใหม่ ยิ่งก่อให้เกิด”แนวร่วม”อันกว้างใหญ่ไปไพศาล เสริมความมั่นใจในการสืบทอดอำนาจ
อำนาจของ”มวลมหาประชาชน”ผ่าน”คสช.”