การออกจากพรรคเพื่อไทยเพื่อไปเป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐน่าตื่นเต้นอยู่แล้ว
ไม่ว่า นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข แห่งเลย
ไม่ว่า นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แห่งนครราชสีมา
แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการเดินทางไปลอนดอนในห้วง แห่งวันเกิดปีที่ 69 ของ นายทักษิณ ชินวัตร รายหลังมีความตื่นเต้นมากยิ่งกว่า
ไม่เพียงเพราะบุคคลคนนั้นเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
หากแต่ยังมีแนวโน้มจะสวมเสื้อพรรคเพื่อไทย
ทำไมรายหลังจึงน่าตื่นเต้นและระทึกใจมากยิ่งกว่า 2 รายแรกจากเลยและนครราชสีมา
การย้ายจากพรรคเพื่อไทยไปสวมเสื้อพรรคพลังประชารัฐอาจน่าตื่นเต้นหากมองจากรากฐานเดิม
รากฐานเดิมต่อ “รัฐประหาร”
รากฐานเดิมต่อการเข้ามามีอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
รากฐานเดิมที่”ประชารัฐ”มุ่งบดขยี้”ประชานิยม”
แต่หากมองจากสภาพความเป็นจริงนับแต่เดือนพฤษภาคม 2557 อำนาจอยู่ในมือของ”ประชารัฐ”
โอกาสที่จะ”ชนะ”จึงสูงเป็นอย่างยิ่ง
ตรงกันข้าม สถานะของพรรคเพื่อไทยนับแต่รัฐประหารเมื่อ เดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา ก็ถูกรุกไล่อย่างดุเดือดเข้มข้น แม้กระทั่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่มีที่ยืน
ต้องกลายเป็น “อีหล่าตุหรัดตุเหร่” อยู่ต่างแดน
การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทยจึงริบหรี่อย่างยิ่งหากมองจากฐานแห่ง”อำนาจ”ทางการเมือง
ยิ่งมองจากฐานทางเศรษฐกิจของอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ท่านนั้นก็ยิ่งน่าพิศวง
เพราะได้ชื่อว่า “ร่ำรวย” อันดับต้นๆของประเทศ
จึงยากเป็นอย่างยิ่งที่จะประเมินว่าเพราะถูก”พลังดูด”ด้วยอำนาจเงิน จึงยากเป็นอย่างยิ่งที่จะประเมินว่ามักใหญ่ใฝ่สูงต้องการประโยชน์และอำนาจทางการเมือง
เพราะเข้าไปก็เป็น”ฝ่ายค้าน” มิได้เป็น”รัฐบาล”