บทบาท “จดหมายเปิดผนึก” ของ นายนคร มาฉิม กำลังส่งแรงสะเทือนเป็นอย่างสูงในทางการเมือง

ไม่เพียงแต่สัมผัสได้จาก “พรรคประชาธิปัตย์”

ไม่ว่าระดับรองโฆษกพรรค ไม่ว่าระดับหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย ไม่ว่าระดับรองเลขาธิการพรรค ไม่ว่าระดับรองหัวหน้าพรรค ไม่ว่าระดับหัวหน้าพรรค

ล้วนออกมาแสดงความรู้สึกอย่างพร้อมเพรียงกัน และกำลังไต่ระดับขึ้นไปสู่ความดำริที่จะฟ้องร้อง โดยยึดกุมพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ

ที่สำคัญเป็นอย่างมากโฆษกระดับพลโทจากรัฐบาล โฆษกระดับพลตรีจากคสช.ต่างออกโรง

เพราะเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับ “รัฐประหาร”

หากศึกษาเนื้อหาอัน นายนคร มาฉิม ร่ายยาวเอาไว้ใน “จดหมายเปิดผนึก”ก็จะเห็นถึงความละเอียดอ่อนของคำว่า “แผนสมคบคิด”ในทางการเมือง

ตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

ต้องยอมรับว่ามีหลายรายละเอียด ซึ่งดำเนินไปในลักษณะที่สามารถเรียกได้ว่า เป็นกระบวนการในการปูทางและสร้างเงื่อนไขนำไปสู่การรัฐประหาร

กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์จะอธิบายการเดินทางไปพบ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่สำนักงานบ้านพระอาทิตย์อย่างไร

ในขณะที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหอกของ “พันธมิตร”

กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์จะอธิบายการเดินออกจากพรรคไปร่วมกันชุมนุมทางการเมือง และดำเนินมาตรการชัตดาวน์กรุงเทพมหานครและรวมถึงการสกัดขัดขวางการเลือกตั้งอย่างไร

นี่เป็นสถานการณ์ก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 และเป็นสถานการณ์ก่อนรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557

จะถือว่าปูทางสร้างเงื่อนไขในลักษณะ “สมคบคิด”หรือไม่

พลันที่พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจนำคดีขึ้นสู่ศาลสถิตยุติธรรม คนที่จะออกมาขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์เป็นคนแรก

น่าจะเป็นคนที่เคยฟ้อง”คสช.”

ต่อมาก็น่าจะเป็นบรรดาอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูก “แผนสมคบคิด”เหล่านี้บ่อนเซาะในหลายรูปแบบ เพราะนี่เท่ากับเป็นการนำเอาเรื่องซึ่งวิพากษ์วิจารณ์กันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ให้กระบวนการยุติธรรมวินิจฉัยออกมาเป็นบทสรุป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน