ภาพข่าวที่ นายภิรมย์ พลวิเศษ ผู้ประกาศตัวเป็นหนึ่งในแกนนำของ “กลุ่มสามมิตร” เดินทางไปยังจังหวัดชัยภูมิ และขึ้นรถแห่เปิดตัวผู้สมัครส.ส.ของกลุ่ม เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้สนใจการเมืองขึ้นมาได้อีกครั้ง

ประการสำคัญเพราะความเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรนั้นได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ

ไม่เพียงการขึ้นรถแห่ของนายภิรมย์ ไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งจะมีกรณีแกนนำของกลุ่มเดินทางร่วมกับคณะทหารและผู้บริหารจังหวัดอุบลราชธานี ไปแจกสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

ไม่ต้องนับการเดินสาย “ดูด” อย่างเปิดเผยที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง นักการเมือง พรรค การเมือง บุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดก็ตาม ที่มีความคิดเห็นตรงข้ามหรือไม่สอดคล้องกับรัฐบาล และคสช.

หากไม่ถูกจับกุมคุมขัง ไม่ถูกแจ้งข้อหา ฟ้องร้อง ไม่ถูกตรวจสอบด้วยกลไกรัฐต่างๆ ก็จะถูกก่อกวนหรือติดตามไปถึงครอบครัวญาติพี่น้อง

ภาพเปรียบเทียบชนิดตรงข้ามนี้ มิได้เป็นเรื่องปิดลับหรือรับรู้กันอยู่ในวงแคบๆ แต่เป็นเรื่องที่รับรู้กันอยู่ทั่วไป เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนทั่วไป

คำถามก็คือ แล้วความเหลื่อมล้ำอันเนื่อง มาจากการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมนี้

จะส่งผลให้อะไรเกิดขึ้นตามมา

การบังคับใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐาน การเลือกที่รักมักที่ชังของผู้มีอำนาจ การเห็นคนหรือองค์กรที่คิดต่างเป็น “ศัตรู” และใช้วิธีการในการ “จัดการศัตรู” เข้าเผชิญหน้า แทนที่จะเป็นการเปิดกว้าง รับฟัง และทำความเข้าใจ

พิสูจน์ให้เห็นมาในอดีต ไม่ว่าจะที่ใดในโลก ว่ามีแต่จะยิ่งนำมาซึ่งความร้าวรานแตกแยก มากกว่าจะนำไปสู่ความเข้าใจ ความสมัครสมานสามัคคี

การเอาเปรียบแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวและมาตรฐาน ทางจริยธรรมของผู้ปฏิบัติ-ผู้เอื้ออำนวยให้เกิดบรรยากาศเช่นนี้ขึ้นมา

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นคุณกับใคร ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสามมิตร รัฐบาล คสช.

และสังคมไทยโดยรวม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน