การที่ “กลุ่มสามมิตร” ยังคงสัญจรจากชัยภูมิไปยังกำแพงเพชร พิจิตร ได้อย่างเป็นปกติ

ประสานกับ “ครม.สัญจร” ที่ลพบุรี และเลย

เท่ากับเป็นการยืนยันอีกคำรบหนึ่งว่า นี่คือทิศทางและไม้

เด็ดทางการเมือง ไม่ว่าจะมองจาก”คสช.” ไม่ว่าจะมองจาก”กลุ่มสามมิตร”

บนพื้นฐานต่อเหตุผลที่ว่า รัฐบาลไหนก็เคยทำใช่ว่ารัฐบาลคสช.จะทำเป็นรัฐบาลแรก

และ “กลุ่มสามมิตร” ไม่ใช่ พรรคการเมือง

และพลันที่ “กลุ่มสามมิตร” ผนวกเข้าเป็นเนื้อเดียวกับพรรคพลังประชารัฐเสียงร้อง”อ๋อ”ก็จะดังสนั่นขึ้น

ตามมากับ “รอยยิ้ม” แน่วแน่จาก”ทำเนียบรัฐบาล”

ท่าทีของ “กลุ่มสามมิตร” ในลักษณะแบ่งรับแบ่งสู้ที่จะเข้าร่วมกับ พรรคพลังประชารัฐได้รับการตีความไปนานาทัศนะ

บ้างก็ว่า เป็นเพียงการรอเวลาอันเหมาะสม

เพราะว่าการเคลื่อนไหวในนาม”กลุ่ม”มีความคล่องตัวมากกว่า และสอดรับกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้มากกว่าเมื่อเทียบกับกระบวนการของพรรค

บ้างก็ว่าเป็นการต่อรองในทางการเมือง

เพราะว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็มิใช่ละอ่อน เพราะว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ผ่านบทเรียนมาอย่างโชกโชนไม่ว่ากับพรรคกิจสังคม ไม่ว่ากับพรรคไทยรักไทย

จึงต้องการความสมน้ำสมเนื้อ มิใช่ว่าเดินเข้าไปในพรรคพลังประชารัฐอย่างเลื่อนลอย เบาหวิว

ตรงนี้เป็นเรื่องธรรมดาอย่างปกติยิ่งในทางการเมือง

และสังคมก็หันไปจับตามองบทบาทของ นายอุตตม สาวนายน บทบาทของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ มากกว่า

ตกลงว่าจะไปรับตำแหน่งใดแน่ในพรรคพลังประชารัฐ

ขอให้สังเกตกำหนดเวลาของการประชุมพรรคพลังประชารัฐที่เลื่อนจากวันที่ 15 เป็นวันที่ 29 กันยายน

นั่นคือ วัน ว.แห่งการเปลี่ยนผ่าน

นั่นคือ พอสิ้นเดือนกันยายน เข้าสู่เดือนตุลาคม นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเกษียณจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่ง

นั่นคือ กำหนดการตัดสินใจของใครบางคนในคสช.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน