เรียกตามสำนวนหลังยุคเข้าอยู่ในร่มเงา IMF เมื่อปี 2540 พรรค ประชาธิปัตย์ ณ วันนี้ ก็ตกอยู่ในสภาพเลือดไหลไม่หยุด
แบกรับผลสะเทือน “พลังดูด” เข้าเต็มพิกัด
ไม่เพียงแต่ นายสกลธี ภัททิยกุล ถูกดูดสายตรงจากทำเนียบ รัฐบาล หากตามมาด้วย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ พร้อมกับตำ แหน่งทรงศักดิ์อัครฐาน
ยิ่งกว่านั้นยังมีเสียงร้องโอดโอยจาก นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ จากภาคใต้ตอนปลาย
เสียงร้องจาก นายสาธิต ปิตุเดชะ จากภาคตะวันออก
ขณะที่ความเหน็ดเหนื่อย หนักใจอย่างสาหัสของ นายอัศวิน วิภูสิริ จากภาคเหนือ
เป็น”พลังดูด”จาก”คสช.”โดยตรง
ภาคใต้อาจถือได้ว่าเป็นจุดแข็งอย่างยาวนานของพรรคประชาธิ ปัตย์ แต่หลังสถานการณ์รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ไม่น่าจะใช่ต่อไปอีกแล้ว
การแยกตัวไปตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทยของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีผลสะเทือนแน่นอน
อย่างน้อยที่สุราษฎร์ธานีก็ร้าว
ยิ่งกว่านั้น ยังตามมาด้วยความรวนเรในพื้นที่ 3 จังหวัดชาย แดนภาคใต้
ภาคตะวันออกก็ต้องพิษจาก”พลังประชารัฐ”
ตอนนี้จันทบุรีโดนสอยไปแล้ว 2 ตามมาด้วยชลบุรีอีก 2 และที่กำลังปั่นป่วนอย่างหนัก คือ ฉะเชิงเทราและบางส่วนของระยอง
ยิ่งภาคเหนือยิ่งเป็นเป้าหมายของ”สามมิตร”
เพราะเป็นเขตอิทธิพลโดยตรงของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน กับ นายอนุชา นาคาศัย ไม่ว่าสุโขทัย นครสวรรค์ พิจิตร ไม่มียกเว้น
เลือดของพรรคประชาธิปัตย์จึงไหลไม่มีหยุด
พรรคประชาธิปัตย์จึงกำลังอยู่บนแพร่งแห่งทางเลือกอย่างมีนัยสำคัญต่ออนาคตทางการเมือง
ทั้งหมดนี้มิได้มาจาก “ระบอบทักษิณ”
ตรงกันข้าม หากมาจากอดีตชาวพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันอย่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และที่สำคัญยังมาจากคสช.ที่เคยเป็นมิตรอยู่ในศอฉ.ด้วยกัน
บทสรุป”ตกปลาในบ่อเพื่อน”เห็นอย่างเป็นรูปธรรม เด่นชัด