เป็นอันพรรคพลังประชารัฐ คือหัวรถจักร คือพรรค”หลัก”ที่จะเป็นฐานรองตีนให้กับการสืบทอดอำนาจของ “คสช.”
รองลงมา คือ พรรครวมพลังประชาชาติไทย
ผลงานอันโดดเด่นของพรรครวมพลังประชาชาติไทยก่อนโรดแม็ปการเลือกตั้งจะบังเกิด คือการเข้าไปแย่งยึดการนำภายในพรรคประชาธิปัตย์
หากดูจากการจัดตั้ง “มูลนิธิ” หากดูจากการตบเท้ากลับเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของแกนนำ”กปปส.”
เห็นชัดว่าเรื่องนี้”วางแผน”มาก่อนหน้านี้แล้ว
เพียงแต่โอกาสมาถึงเมื่อมีการคลายล็อกจากคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 13/2561 เท่านั้นเอง
สำเร็จหรือไม่อีกไม่กี่วันจะมี “คำตอบ”
อย่าได้แปลกใจก่อนข่าวการตัดสินใจชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ไม่กี่วัน
มีรถของ”รวมพลังประชาชาติไทย”ปรากฏ
อย่าได้แปลกใจหากว่าคนที่ร่วมในการพบปะกับ”ผู้ใหญ่”หลายคนในพรรคพร้อมกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม คือ นายถาวร เสนเนียม
อย่าได้แปลกใจหาก อดีตส.ส.สงขลา ส่วนใหญ่ยกเว้น นายศิริโชค โสภา ล้วนแต่ยืนอยู่ปีกเดียวกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม
ฐานเสียของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม จึงมิได้อยู่ที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หากแต่ยังอยู่ที่ภาคใต้ตอนล่างและตอนกลาง ครบครัน
นี่เท่ากับเป็นการเดินแผนใช้แต่ละภาคกดบีบภาคกลางและกทม.
เป็นไปได้อย่างไรที่จะมาจาก”หมอวรงค์”ล้วนๆ
หากไม่ได้รับการอัดฉีดจาก”ลุงกำนัน”ผ่านมือไม้ นายถาวร เสนเนียม คงไม่หนักแน่นจริงจังระดับนี้
พิมพ์เขียวทั้งหมดของ “คสช.”จึงเด่นชัด โดยมีพรรคพลังประชารัฐ เป็นหัวรถจักร เป็นธงนำ
แวดล้อมด้วย รวมพลังประชาชาติไทย ประชาธิปัตย์
ส่วนพลังธรรมใหม่ พลังชาติไทย ประชาชนปฏิรูป หลุดไปจากวงโคจรนานแล้ว
นี่คือฐานที่มา 250 ขึ้นประสานกับ 250 ส.ว.