คอลัมน์ บทบรรณาธิการ

คดีรถโบราณ ยี่ห้อเมอร์เซเดสเบนซ์ ที่มีผู้ถวายให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชครอบครอง ก็ ถึงมือสำนักงานอัยการสูงสุด

กรมสอบสวนคดีพิเศษ พยายามจะดำเนินคดีกับผู้มีชื่อผู้ครอบครองอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่คืบหน้า แจ้งข้อกล่าวหายังไม่ได้

จึงยื่นฟ้องได้แค่เอกชนกลุ่มผู้จัดหาและดำเนินการรวม 6 คน และพระมหาศาสนมุนี เลขานุการส่วนตัวเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นจำเลยที่ 7 ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่า เป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ครบถ้วนตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต

ไม่เกี่ยวพันกับผู้ครอบครองรถคันนี้ แต่อย่างใด

ต่อมา โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงผลการสั่งคดีนี้ ซึ่งอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่เป็นกลุ่มผู้จัดหาอะไหล่ เครื่องยนต์ จดประกอบ และยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาบางคน เนื่องจากไม่เกี่ยวข้อง และคดีขาดอายุความ

ในส่วนของพระมหาศาสนมุนีนั้น อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ระบุไม่มีหลักฐานว่ารับรถคันดังกล่าวไว้โดยรู้ว่าจำเลยอื่นที่ถูกฟ้องในคดีนี้เสียภาษีสรรพสามิตไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันว่าถ้าส่งคืนสำนวนคดีกลับมาก็จะทำความเห็นแย้ง โดยระบุว่าสำนวนคดีมีพยานหลักฐานแน่นหนาที่จะเอาผิดกับผู้ต้องหาทั้ง 7 รายได้

ต้องรอดูว่าอัยการสูงสุดจะสั่งคดีนี้อีกอย่างไร

ที่ผ่านมา กรณีนี้สอดรับกับความเคลื่อนไหวของบางกลุ่ม ที่พยายามใช้ประเด็นเพื่อสร้างความเสื่อมเสียให้พระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่บางรูปเปรอะเปื้อน มีมลทิน

โดยมีเป้าหมายเพื่อขัดขวาง ถ่วงรั้ง มิได้รับการสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสำคัญของคณะสงฆ์ ขณะที่ส่วนใหญ่ก็ออกมาสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการไปตามมติมหาเถรสมาคม

ทำให้รัฐบาลนำมาเป็นข้ออ้างว่ายังมีปัญหาความขัดแย้ง จึงดึงเรื่องดองเอาไว้เกือบแรมปี จนกระทั่งนำมาสู่การแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์อย่างรวบรัด 3 วาระภายในไม่กี่ชั่วโมง

คดีรถเบนซ์โบราณ กรณีประมุขสงฆ์ และการแก้ไขพ.ร.บ.คณะสงฆ์ จึงเป็นเรื่องที่รัฐรุกใส่พุทธจักร ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าจะเกิดปัญหาตามมาในระยะยาวหรือไม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน