คำถามจากผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐในที่ประชุมสัมนา ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ที่ว่า “เวลาลงพื้นที่หากถูกถามว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคทหารจะชี้แจงอย่างไร”
มากด้วยความแหลมคม
แม้คำตอบจาก นายสุชาติ ตันเจริญ “ไม่ต้องเลือกทหาร ให้เลือกผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ” จะถือได้ว่าเฉียบแหลมอย่างยิ่ง ในเชิงโวหาร แต่คนที่สะดุ้งน่าจะเป็นอดีตส.ส.อย่าง นายอำนวย คลังผา อย่าง นายฉลอง
เรี่ยวแรง มากกว่า
คล้ายกับว่าการตีจากพรรคเพื่อไทยไปสวมเสื้อพรรคพลังประชารัฐของหลายคน อาจเป็นเรื่องของการช่วงชิงโอกาส และสร้างความได้เปรียบ
แต่เอาเข้าจริงๆก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น
นักการเมืองที่ตีจากไปตั้งแต่ยุคหลังรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หรือแม้กระทั่ง นายสุชาติ ตันเจริญ อาจไม่เดือดร้อน
แต่กล่าวสำหรับ นายอำนวย คลังผา หรือ นายปรีชา เร่งสม บูรณ์สุข ไม่น่าจะใช่
ยิ่ง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ยิ่งเหน็ดเหนื่อย
เพราะในระหว่างหาเสียงพบปะประชาชนย่อมต้องได้รับคำ ถามไม่ว่าจะในเรื่องของรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าจะในเรื่องของรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ประเมินอย่างไรกับบทบาทของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ประเมินอย่างไรกับบทบาทของกปปส.
รู้สึกอย่างไรกับชะตากรรมที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประสบ ภายหลังรัฐประหารกระทั่งต้องกลายเป็น”อีหล่า ตุหรัดตุเหร่”เหมือนกับ นายทักษิณ ชินวัตร
นี่คือคำถามที่ต้องพบนอกเหนือจากการเป็น”พรรคทหาร”
ยิ่งใกล้เวลา”ปลดล็อก” ยิ่งบรรยากาศแห่งการรณรงค์หาเสียงรุกคืบเข้ามา ความร้อนแรงของสถานการณ์ยิ่งปรากฏให้เห็นเด่นชัด ยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
เมื่อมี “รายรับ” ก็ย่อมต้องมี”รายจ่าย”ตามมา
พรรคพลังประชารัฐย่อมดำรงอยู่ในสถานะแห่งตำบลกระสุน ตกทางการเมืองแน่นอน
นั่นคือสภาพที่”ผู้สมัคร”ทุกคนจะต้อง”แบกรับ”