กรณีโต๊ะจีน 650 กว่าล้านบาทกำลังจะกลายเป็นทั้ง “กรณีศึกษา” และ “บทเรียน” อย่างสำคัญ

ไม่เพียงแต่ต่อพรรคพลังประชารัฐ

หากแต่ที่แหลมคมอย่างที่สุดก็คือ ต่อ 4 รัฐมนตรีที่สไลด์จากทำเนียบรัฐบาลเข้ามารับตำแหน่ง หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค

ด้านหนึ่ง การสวมหมวก 2 ใบอาจทำให้การขับเคลื่อนงานในครม.กับงานในพรรคสอดรับกันได้อย่างกลมกลืน

คนหนึ่ง ร้อง คนเดียวกันรำ

ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่งจากที่สวมหมวก 2 ใบนั้นเองจึงพันพัว นัวเนีย อย่างชนิดที่ยากจะแยกออกได้อย่างง่ายดาย

พลันที่โต๊ะจีน 650 กว่าล้านบาทพ่นพิษออกมา

น่าสังเกตว่าคนที่ออกนอกหน้ามีเพียง 1 นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ และ 1 นายธนกร วังบุญคงชนะ

คนแรกในฐานะรับผิดชอบงาน “โต๊ะจีน”

คนหลังในฐานะที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองโฆษกพรรค

ขณะที่คนอื่นๆภายในพรรค “เงียบกริบ”

ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ว่าจะเป็นรองหัวหน้าพรรค ไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการพรรค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโฆษกพรรค ก็อยู่ในสภาพรูดซิปปาก

ยิ่งผู้มากด้วยความจัดเจนระดับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หรือ นายสุชาติ ตันเจริญ ยิ่งกบดาน

พลันที่ นายวิษณุ เครืองาม มือกฎหมายจากรัฐบาลเปิดไฟเขียวให้ กกต.ดำเนินการตรวจสอบ กรณีโต๊ะจีน 650 กว่าล้านบาท ก็กลายเป็นประเด็น

คำถามก็คือ กกต.จะเล่นบทอย่างไร คำถามที่ตามมาก็คือ จะเล่นบทเดียวกับป.ป.ช.กรณีนาฬิกาหรูหรือไม่

แม้จะมีความพยายาม LAUNCE คลิปลับออกมาตามแผนปฏิบัติการด้านการข่าว หรือ IO เพื่อหวังสร้างกรณีอื้อฉาวเพื่อกลบกรณีอื้อฉาว

แต่ “สังคม”จะขานรับตามไปด้วยหรือไม่

นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า คลิปลับจะสามารถเอาชนะเหนือโต๊ะจีนได้หรือไม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน