ทั้งๆที่ เลขาธิการคสช.ซึ่งเป็นผบ.ทบ.เพิ่งออกมาชี้นิ้วกล่าวหากลุ่ม คนอยากเลือกตั้งรับงานตาม”ใบสั่ง”เพื่อออกมาสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวาย
ประสานกับการขานรับจากโฆษกคสช.และโฆษกกระทรวงกลาโหม
โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทยยังกล้าระบุ
“ขออย่านำกองทัพไปเป็นคู่ความขัดแย้งกับฝ่ายใด หรือกลุ่มที่มีเบื้องหลังหวังผลยั่วยุให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง”
ราวกับ “กองทัพ” ไม่มีส่วน”เกี่ยวข้อง”เลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นการพูดของเลขาธิการคสช.ซึ่งเป็นผบ.ทบ.ไม่ว่าจะเป็นการพูดของโฆษกคสช. หรือโฆษกกระทรวงกลาโหม
ทั้งๆที่”กองทัพ”ได้เข้ามา”เกี่ยวข้อง”โดยตรง
หากโฆษกคสช. หากโฆษกกระทรวงกลาโหมยังจำได้ ขอให้ย้อนกลับไปศึกษาสถานการณ์เมื่อคสช.โดยกระทรวงกลาโหมได้เข้ามารับผิดชอบโครงการปรองดองเมื่อปี 2560
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถือเอาฤกษ์ดี 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ เป็นจุดสตาร์ทและตั้งเป้าจะจบเกมใน 13 เมษายน วันสงกรานต์
หลายฝ่ายตั้งความหวังว่าด้วยบารมีของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์จะสามารถสร้างปรากฏการณ์ปรองดอง ลดความขัดแย้งแตกแยกที่ดำรงอยู่ในสังคมได้
ขณะที่มีเสียงท้วงติงว่ายากที่จะบังเกิดผลเพราะว่าคสช.และกองทัพคือคู่ของความขัดแย้ง
มิได้เป็น”คนกลาง”มิได้เป็น”กรรมการ”
จากเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ผ่านเดือนเมษายน กระทั่งผ่านเดือนกุมภาพันธ์ 2561 และกำลังเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 ความสำเร็จก็เห็นได้เพียง”น้องเกี่ยวก้อย”
จนป่านนี้ก็ยังไม่มี”ปรองดอง”เกิดขึ้นในทางเป็นจริง
ในบรรยากาศแห่งความเรียกร้องต้องการ”การเลือกตั้ง”ปัญหาก็ยังเป็นในพรมแดนเดิมทีเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อปี 2549
แม้จะผ่านรัฐประหารในปี 2557 มาแล้ว 5 ปีก็ตาม
พลันที่เกิด”รัฐประหาร” กองทัพก็มิได้ดำรงอยู่ในฐานะกรรมการหรือคนกลางต่อไปอีกแล้ว หากแต่กลายเป็นคู่ของความขัดแย้ง
ยิ่งเข้าสู่”การเลือกตั้ง”ก็จะยิ่งแหลมคมและทวีความรุนแรง