“มหาสารคาม โมเดล” จะกลายเป็นฝันร้ายซึ่งตามหลอกหลอนต่อพรรคพลังประชารัฐไปอีกยาวนาน

อย่างน้อยก็ในพื้นที่ “อีสาน”

นั่นก็คือ การปฏิเสธต่อการดำรงอยู่ของพรรคพลังประชารัฐในทางเป็นจริง

ด้วยการลุกขึ้นแล้วก็”วอล์กเอาต์”จากพื้นที่”ปราศรัย”

ไม่ว่าบรรดาว่าทีผู้สมัครส.ส.จะร้อง “อย่าฟ้าว อย่าฟ้าว”ด้วยน้ำเสียงอันตื่นตระหนก ก็ไม่สามารถแปรเปลี่ยนความตั้งใจของประชาชนที่ยกระดับขึ้นเป็น”พลเมือง”ได้

สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐต้องรีบสรุปก็คือ ปฏิกิริยาเช่นนี้มีมูลเชื้อมาอย่างไร

หาก นายอุตตม สาวนายน หรือ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ หรือ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ตลอดจน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อาจจะยังงวยงงสงกา

แต่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อาจ”ซาโตริ”แล้ว

ยิ่งกว่านั้น นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ซึ่งเดินเครื่องปราศรัยด้วย ความคล่องแคล่วและปราดเปรียวคงสามารถตอบได้

เพราะเนื้อหาการพูดมีการแตะไปยัง”เพื่อไทย”

ประการสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ การวิพากษ์วิจารณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เท่านั้นแหละ “จุดเดือด”ก็ปะทุขึ้นในหมู่”มวลชน”

ผลก็คือ เมื่อพวกเขาทยอยกันลุกขึ้นและเดินออกจากพื้นที่คนแล้วคนเหล่า ที่เหลือรับฟังอยู่ก็เสมอเป็นเพียง”ทหารม้า”อย่าง พร้อมเพรียงกัน

นี่คือ บทเรียนอันทรงความหมายยิ่งต่อบรรดาอดีตส.ส.ที่เคยอยู่พรรคเพื่อไทยและผละออกไปด้วย”พลังดูด”

เท่ากับเป็นสัญญาณ”เตือน”ที่กังวานมาจาก”มหาสารคาม”

อุบัติแห่ง”มหาสารคาม โมเดล”ไม่เพียงเพราะหัวรถจักรการเลือก ตั้งได้ทะยานไปสู่รางวิ่งแล้วอย่างสมบูรณ์ หากที่สำคัญเป็นเพราะมีการแตะไปยังคนที่เขารัก พรรคที่เขาชอบ

นามของ นายทักษิณ ชินวัตร นามของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังทรงความหมายเป็นอย่างสูงในทางการเมือง

สัญญาณนี้เตือนไปยัง อดีตส.ส.ในกระบวนการถูกดูด

สัญญาณนี้เตือนไปยัง”พรรคพลังประชารัฐ”โดยตรงไม่อ้อมค้อม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน