วิบัติดีกว่าไม่เป็น ปชต.

ใบตองแห้ง

ปรบมือให้ อ.สุรชาติ บำรุงสุข ชื่นชมบรรยง พงษ์พานิช แต่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับ อ.โคทม อารียา และส่ายหน้ากับบางข้อเสนอของ อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ในงานเสวนา “เลือกตั้ง 62 จุดเปลี่ยนประเทศไทย” ของมติชน

อ.โคทมแนะนำให้ “แชร์อำนาจ” พรรคอันดับหนึ่งเชิญ พลังประชารัฐร่วมรัฐบาล อ.ปริญญาเสนอให้เพื่อไทยจับมือประชาธิปัตย์ ประเคนเก้าอี้นายกฯ ให้ “มาร์ค กระสุนจริง”

เข้าใจนะ ทั้งสองท่านไม่อยากเห็นการแตกหัก อยากให้หาวิธีประนีประนอม แต่ไม่ยักเห็นหัวอกคนรักประชาธิปไตย ถูกกระทำ มา 12 ปี ทั้งโดยรัฐประหาร และกระบวนการอยุติธรรม ยังเรียกร้องให้อดทนอดกลั้น ถึงชนะเลือกตั้งก็ต้องประนีประนอม หยวนยอมใต้โครงสร้างอำนาจอนุรักษนิยม

ใช่เลย ต่อให้พรรคฝั่งประชาธิปไตยชนะล้นหลาม เกิน 250 เสียง ก็เป็นรัฐบาลไม่ได้ เกิน 375 เสียง เดี๋ยวก็ถูกทำลาย แต่ถ้าให้เอาหน้าร้อนผ่าวไปซบก้นเย็นเฉียบของฝ่ายอนุรักษนิยม นอกจากโดนประชาชนโห่ไล่ ประณามว่าทรยศต่อการต่อสู้ ต่อ 99 ศพ สุดท้ายก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้อยู่ดี

พูดอย่างนี้ไม่ใช่รักประชาธิปไตยต้องแตกหัก ปฏิวัติประชาชน อะไรทำนองนั้น เพราะอันที่จริง ประชาธิปไตยคือวิถีแก้ความ ขัดแย้งอย่างสันติ ประชาธิปไตยต้องมุ่งให้คนเห็นต่างหลากหลายประนีประนอม ยอมต่อสู้ความคิดกันภายใต้กติกา สร้างบรรยากาศ ที่เอื้อต่อการทำมาหากินในภาพรวม

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 12 ปีมันตาลปัตร เสียงข้างน้อยกลับล้มกติกา ก่อความไม่สงบ แล้วอำนาจอนุรักษนิยมก็เข้ามา นอกจากบังคับลิดรอนเสรีภาพ ยังฉวยโอกาสสถาปนาโครงสร้างที่ทำให้ประเทศถอยหลัง

อย่างที่บรรยงชี้ “ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปกับสิ่งที่ประสิทธิภาพต่ำ คือการขยายอำนาจรัฐ” วางกับดักที่จะทำให้ประเทศอ่อนแอ เช่นกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ

หรืออย่าง อ.สุรชาติชี้ แอก 5 ข้อที่ต้องปลด รัฐธรรมนูญ, กฎหมายลูกที่ไม่ตอบสนองการพาสังคมไทยไปสู่อนาคต, ยุทธศาสตร์ที่ไม่ได้ออกแบบเพื่ออนาคต, การยกสถานะ กอ.รมน.เป็นรัฐซ้อนรัฐ และกองทัพต้องกลับไปเป็นทหารอาชีพ

เราต้องการทหารอาชีพ เราไม่ได้เกลียดทหารอาชีพ อย่างที่ใครบางคนพูดพล่าม เราเกลียดทหารที่ทำรัฐประหาร ทหารที่ไม่รู้หน้าที่ความเชี่ยวชาญตัวเอง ตั้งตนมาบริหารประเทศ แล้วคิดว่าตัวเองเก่งทุกอย่าง กระทั่งเปิดยุทธการยึดตึกใบหยกรบกับฝุ่น

“แอก” เหล่านี้ ถ้าไม่ปลด ประเทศจะเดินหน้าไม่ได้ ทั้งทาง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา เทคโนโลยี หรือภาระ งบประมาณ จะกลายเป็นประเทศที่ไม่สามารถแข่งขันกับใคร และพากันตายในหม้อต้มกบ

ยิ่งไปกว่านั้น คำแนะนำให้ฝ่ายประชาธิปไตยประนีประนอม ยังไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฝ่ายอนุรักษนิยมก็ไม่มีวันประนี ประนอม จนกว่าจะแพ้ย่อยยับ ยกตัวอย่าง อ.ปริญญาอุตส่าห์ หวังดี แนะนำให้ตู่ถอยมาเป็นคนกลาง ตู่ฟังซะเมื่อไหร่

สถานการณ์ไม่มีทางเลี่ยง ลุงตู่ของสลิ่ม ของกองหนุนกินฝุ่น จำเป็นต้องลงเลือกตั้ง เพื่อรักษาโครงสร้างระบอบอำนาจนิยม มิไยที่ปริญญาเตือนว่าจะทำให้การเมืองสู่ภาวะล้มเหลว เพราะนี่เป็นเรื่องของระบอบ ไม่ใช่ตัวบุคคล

ซึ่งฝ่ายประชาธิปไตยไม่เห็นต้องกลัวอะไร เลือกตั้ง 62 นำไปสู่จุดเปลี่ยน 2 ทางเท่านั้น หนึ่งคือ คสช.แพ้ย่อยยับ แต่วันที่ 25 มี.ค. ตู่ยังไม่สามารถเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ยังต้องตากหน้าอีก 2 เดือน ระหว่างนั้นก็ให้ฝ่ายอนุรักษนิยมคิดหาทางเอาเอง ว่าจะประนีประนอมกับพลังประชาธิปไตยอย่างไร

สอง คสช.ชนะ แม้ไม่ได้เสียงเกินครึ่ง แต่ก็จะจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล อย่างที่ อ.ปริญญาจับไต๋ ไพ่หน้านี้ก็ไม่น่ากลัวอะไร อย่าง อ.สุรชาติเย้ย กลัว คสช.แพ้ต่างหาก ให้ระบอบอำนาจนิยมปกครองต่อไป ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และรัฐธรรมนูญมีชัย โดยแนะนำให้หมอทหารเตรียมยาบำรุงหัวใจ ยาบำรุงประสาท และยากล่อมประสาทไว้ เพราะจะบริหารประเทศในระบบปกติไม่ได้ หายนะรออยู่ข้างหน้า

ที่จริง 5 ปีก็พิสูจน์อะไรได้เยอะแล้ว เช่นไม่มีนักการเมือง โกง ดัชนีโปร่งใสกลับตกต่ำ หนำซ้ำ แทนที่จะเชื่อว่าเสื่อมเพราะนาฬิกาเพื่อน ป.ป.ช.กลับโทษว่าเป็นเพราะไม่มีเลือกตั้ง

ถ้าคสช.ชนะ แม้ผู้รักประชาธิปไตยต้องอดทนอีกระยะ แต่ก็ยังดีกว่านักการเมืองเข้ามา”รับกรรม” รับปัญหาประเทศ ที่เป็นผลพวงจากระบอบเผด็จการ 5 ปี ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล้ำ

ให้ท่านผู้นำอยู่ต่อ อาจจะได้เห็นดำเห็นแดง ถ้านำประเทศก้าวกระโดด ก็ให้จารึกประวัติศาสตร์ เผด็จการนำชาติเจริญ แต่ถ้าเป็นทางตรงข้าม ก็ให้มันวิบัติคาตา

อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ถ้าประเทศวิบัติจนคนเห็นประจักษ์ว่า ระบอบเผด็จการสร้างความเสียหายเพียงไร มองในด้านกลับอาจคุ้มกว่าก็ได้

(หน้า 6)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน