ถึงวันนี้มีสัญญาณหลายอย่างบ่งชี้ถึงสถานการณ์ของรัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการบริหารประเทศ

เห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนของกรุงเทพโพลล์ หัวข้อประเมินผลงาน 2 ปี 6 เดือนรัฐบาล พบว่าคะแนนลดลงทุกด้าน

ทั้งด้านความมั่นคงของประเทศ การบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมาย สังคมและคุณภาพชีวิต การต่างประเทศ และเศรษฐกิจ

สรุปเป็นคะแนนเฉลี่ย 5.83 เต็ม 10

ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ยังคงเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปรับปรุงเร่งด่วนมากที่สุด ตามด้วยราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ สินค้าแพง ค่าครองชีพสูง คนมีรายได้น้อย และปัญหา คอร์รัปชั่นในวงราชการ

เจาะจงลงไปยังคะแนนเฉพาะตัวพล.อ.ประยุทธ์ ถึงยังอยู่ในระดับเฉลี่ย 7.40 คะแนน แต่ก็ลดลงเช่นกันในทุกเรื่อง

ไม่ว่าเรื่องความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ, ความซื่อสัตย์สุจริต, การรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ, ความสามารถในการบริหารจัดการตามอำนาจหน้าที่ และความสามารถสร้างสรรค์ผลงาน โครงการใหม่ๆ

มีคะแนนความขยันทุ่มเทในการทำงานเพื่อแก้ปัญหาของประเทศเท่านั้น

ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.01 คะแนน

ในจังหวะนี้เองที่รัฐบาลเกิดปัญหาแทรกซ้อน ซ้ำเติมสถานการณ์

ไม่ว่าเรื่องม็อบต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ หรือกรณีพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ที่ทำท่าว่าจะเป็นหนังม้วนยาว

ท่ามกลางมรสุมรุมขนาบ รัฐบาลคสช.เลือกที่จะถอดสลักระเบิดโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่

ด้วยการออกมติครม.สั่ง?เซ็ตซีโร่?รายงานศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และจัดทำผลประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (อีเอชไอเอ) ใหม่หมด

ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงยอมสลายตัวจากหน้าทำเนียบรัฐบาล กลับภูมิลำเนาบ้านใครบ้านมัน แม้จะยังไม่แน่ใจว่าการถอยของรัฐบาลครั้งนี้

ถอยจริงหรือแค่ถอยตั้งหลักรอทีเผลอ

การที่พล.อ.ประยุทธ์หันมาเฉ่งพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลและอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ว่าชี้แจงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ “ไม่ได้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง”

รวมถึงในรายของนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ที่พลอยโดนหางเลขไปด้วย เพราะดันไปเสนอตัวว่ากกต.พร้อมจัดทำประชามติ ให้ประชาชนตัดสินว่าจะเอาหรือไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ในกรณีของ?โฆษกไก่อู?และ?กกต.สมชัย? สะท้อนให้เห็นว่า กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่น่าจะสร้างความกระอักกระอ่วนให้กับพล.อ.ประยุทธ์ไม่น้อย เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลคสช.ไม่เคยอ่อนข้อให้กับม็อบหน้าไหนทั้งสิ้น

เพราะถึงการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมต่อต้าน ด้วยวิธีประนีประนอม เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นแตกต่าง แทนการบริหารจัดการด้วยอำนาจเด็ดขาดเพียงอย่างเดียว

แม้ด้านหนึ่งได้เสียงชื่นชม แต่ก็ยังมีเสียงค่อนแคะตามมาเหมือนกันว่า

เหตุที่รัฐบาลยอมใส่เกียร์ถอยอย่างรวดเร็วในกรณีโรงไฟฟ้ากระบี่ นอกจากเป็นเพราะข้อมูลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของโครงการมีจุดอ่อน

ยังอาจเกี่ยวกับการที่แกนนำผู้ชุมนุมบางคน เป็นพวกเดียวกับเครือข่ายกองเชียร์ ที่เคยร่วมเคลื่อนไหวเป่านกหวีดก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พฤษภาฯ 2557 อีกด้วย

ซึ่งนำมาสู่ข้อสงสัยถึงมาตรฐานรัฐบาลในการปฏิบัติกับม็อบต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่

แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดกับการปฏิบัติต่อพรรคและกลุ่มการเมืองขั้วตรงข้าม ตลอดจนกลุ่มนักสิทธิมนุษยชน กลุ่มนิสิต-นักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวในห้วงเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา

รวมทั้งล่าสุดต่อกรณีวัดพระธรรมกาย

ในกรณีวัดพระธรรมกายนั้น ไม่เพียงองค์กรปกครองสงฆ์สูงสุดอย่างมหาเถรสมาคม และสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ จะทรงมีความห่วงใย อยากให้ยุติปัญหาด้วยความสงบ ไม่รุนแรง

ในแง่พุทธบริษัทและประชาชนทั่วไปหลายคนก็เศร้าใจ

จากคดีพระธัมมชโย ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมฟอกเงิน รับของโจร และรุกป่า ได้ขยายให้เป็นเรื่องความมั่นคงทางการเมือง จากการที่พล.อ.ประยุทธ์ สั่งใช้มาตรา 44 เข้าควบคุมพื้นที่บริเวณวัดกว่า 2,000 ไร่โดยรอบ

ทุ่มสรรพกำลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง จำนวน 18 กองร้อย เกือบ 3,000 นาย เข้าปฏิบัติการปิดล้อมพื้นที่มานานกว่า 1 สัปดาห์

พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ยืนยันตรงกันว่า จะไม่ยกเลิกการใช้มาตรา 44 เด็ดขาด ตราบใดที่ยังจับกุมพระธัมมชโยไม่ได้

การที่รัฐบาลคสช.ทุ่มเททรัพยากรเจ้าหน้าที่ และงบปฏิบัติการลงไปเป็นจำนวนมาก ประกอบกับการใช้มาตรา 44 โดยมีเป้าหมายเพื่อจับกุมผู้ต้องหาเพียงคนเดียว

ทำให้ถูกมองว่าเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน ได้ไม่คุ้มเสีย เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลคสช.มีเป้าหมายอื่นแอบแฝงอยู่เบื้องหลังการจับกุมพระธัมมชโยเพียงอย่างเดียว

การปิดล้อมตรวจค้นวัดพระธรรมกาย จะไม่มีทางยืดเยื้อนานเป็นปีๆ เหมือนที่แกนนำรัฐบาลคสช.พูดไว้แน่นอน

เพราะแค่ 10 วันที่ผ่านมา ก็เริ่มมีการปะทะถึงขั้นเลือดตกยางออก สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ทั้งฝ่ายพระและฝ่ายรัฐบาล

มาตรการกดดันด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะตัดน้ำ ตัดไฟฟ้า ตัดสัญญาณการสื่อสาร ตัดเสบียงกรัง ฯลฯ

หากนำมาใช้จริง รัฐบาลคสช.และเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติก็จำเป็นต้องคิดให้รอบคอบ และระมัดระวัง ว่ามาตรการใดก็แล้วแต่ที่งัดมาใช้ จะไม่มีผลกระทบไปถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ

ไม่เช่นนั้นรัฐบาลอาจต้องแพ้ภัยตัวเอง

เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าสุดท้ายแล้วมหากาพย์วัดพระธรรมกายจะลงเอยอย่างไร

แต่ระหว่างนี้สิ่งที่พอจะมองเห็นได้ก็คือ ดาบอำนาจในมือของรัฐบาลคสช.เริ่มไม่เข้มขลังเหมือนเมื่อก่อน

กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ถือเป็นความกล้าของประชาชนในการท้าทายอำนาจรัฐเช่นกัน เพียงแต่บังเอิญเป็นม็อบคนกันเอง เลยได้รับการเคลียร์กันแบบนุ่มนวล

ประกอบกับผลสำรวจกรุงเทพโพลล์

ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า เมื่อครบ 3 ปี หรือ 3 ปี 6 เดือน ไปจนถึงระยะเวลาของการสิ้นสุดโรดแม็ปในปี 2561 รัฐบาลคสช.จะทำคะแนนผลงานกระเตื้องขึ้นได้หรือไม่

โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจระดับปากท้องชาวบ้าน ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญ

ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ล้วนมีผลต่อการชี้ขาดอนาคตของคสช.ภายหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า

จะลงจากหลังเสือในสภาพอย่างไร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน