วิกฤตผลเลือกตั้ง ระวังขัดแย้งใหญ่

วิกฤตผลเลือกตั้งก่อนเลือกตั้งเป็นอย่างไร หลังเลือกตั้งก็ยังเป็นอย่างนั้น

ภาพรวมการเมืองไทยหลัง 24 มีนาคม แบ่งเป็น 2 ขั้วค่าย ฝ่ายสืบทอดอำนาจกับฝ่ายประชาธิปไตย ชัดเจนกว่าเดิม

ซีกฝ่ายประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยได้รับเลือกส.. 137 ที่นั่งโดยประมาณ ต่ำกว่าเป้า แต่ก็ได้เข้ามาเป็นอันดับ 1 ได้เหรียญทองไปครอง

หากยึดตามธรรมเนียมปฏิบัติ ถือเป็นพรรคที่มีความชอบธรรมมากสุดในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่กระนั้นก็ตามต้องเจอกับการอ้างคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตอันดับ 1 ขึ้นมาช่วงชิงสิทธิ์ของอีกขั้ว

ส่วนอนาคตใหม่ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคน้องใหม่มาแรง แซงพรรครุ่นพี่รุ่นพ่อ ขึ้นมายึดครองอันดับท็อปทรีแจ้งเกิดอย่างภาคภูมิ ด้วย จำนวนส..รวม 87 ที่นั่งอย่างไม่เป็นทางการ

นายธนาธร ประกาศจุดยืนพรรค 3 ข้อ ยืนยันจับมือเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล พร้อมย้ำ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีในเวลานี้มากที่สุด

หลังเลือกตั้ง 3 วัน 27 มีนาคม หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และหัวหน้าอีก 4 พรรค ประกอบด้วย เสรีรวมไทย ประชาชาติ เพื่อชาติ และพลังปวงชนไทย ลงนามสัตยาบันร่วมกัน

ประกาศความพร้อมจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช.

ส่วนพรรคที่ 7 เศรษฐกิจใหม่ของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ไม่ได้ไปร่วมลงสัตยาบัน แต่ยืนยันผ่านสื่อ ยังมั่นคงจุดยืนเดิมก่อนเลือกตั้งคือ อยู่กับฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ไปร่วมตั้งรัฐบาลกับอีกฝ่ายแน่

ในวันนั้น จากการคาดการณ์ปริมาณเสียงส.. 7 พรรครวมกัน ตัวเลขอยู่ที่ 255 ที่นั่ง เกินครึ่งสภา ผู้แทนฯ แต่ยังเป็นตัวเลขที่ยังไม่นิ่ง

เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต. ยังกั๊กผลนับคะแนนเลือกตั้งไว้อีก 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดพลิกผันในเกมแย่งชิงอำนาจ

ส่งผลให้วิกฤตการเมืองตั้งเค้าทะมึนอีกระลอก

ในส่วนซีกฝ่ายหัวหน้าคสช.

พรรคพลังประชารัฐที่ชูพล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกฯ ก่อนเลือกตั้ง 24 มีนาคม ถูกยกให้เป็นพรรคเต็งหนึ่งที่จะชนะเลือกตั้ง

แต่แล้วผลลัพธ์ปรากฏว่า พลังประชารัฐเข้าเส้นชัยเป็นที่ 2 ได้แค่เหรียญเงินพ่ายแพ้ให้กับพรรคเพื่อไทยด้วยจำนวนส.. 137 ต่อ 118

ด้วยตัวเลขห่างกัน 19 ที่นั่ง แม้อ้างว่ายังไม่ใช่ผลคะแนนเป็นทางการ แต่ถ้าหากไม่มีอภินิหารอื่นมาช่วย โอกาสพลิกแซงไม่มีทางเป็นไปได้

การอ้างตัวเป็นพรรคได้คะแนนเลือกตั้งรวมทั้งประเทศ หรือป๊อปปูลาร์โหวตมากที่สุดกว่า 8.4 ล้านคะแนน ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ 7.9 ล้านคะแนน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองในการชิงธงตั้งรัฐบาล โดยมีเสียงขานรับเฉพาะพวกเดียวกันเอง

ประวัติศาสตร์การจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งของไทยทุกยุคทุกสมัย พรรคใดได้เป็นแกนนำจัดตั้ง ล้วนถือเอาพรรคที่ได้รับเลือกตั้งส..มากที่สุดเป็นเกณฑ์

ส่วนป๊อปปูลาร์โหวต จะใช้ในระบบเลือกตั้งทางตรงเช่นการเลือกตั้งประธานาธิบดีในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ เป็นต้น

การที่แกนนำพรรคชูป๊อปปูลาร์โหวตจนเกินงาม ทำให้พลังประชารัฐโดนพรรคคู่ปรับถากถาง ว่าชนะการแข่งขันอันดับ 2 แต่อยากได้เหรียญทอง

อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์การเมืองที่แบ่งเป็น 2 ขั้วค่ายชัดเจนหลังเลือกตั้ง ทำให้พรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่เหลือนอกเหนือจาก 7 พรรคฝ่ายประชาธิปไตย ที่ลงสัตยาบันร่วมกัน

ไม่ว่าประชาธิปัตย์ที่แพ้เลือกตั้งยับเยินจนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อรับผิดชอบ หรือภูมิใจไทยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เป็นพรรคเนื้อหอมมากสุดในเวลานี้ รวมไปถึงพรรคชาติไทยพัฒนา

ต้องตกอยู่ในสภาพกระอักกระอ่วน ว่าจะเลือกยืนอยู่กับฝ่ายใด

ร่วมสร้างการเมืองประชาธิปไตย หรือเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจ

ภายใต้การช่วงชิงกระแสจัดตั้งรัฐบาล

แม้พรรคเพื่อไทยจะช่วงชิงความได้เปรียบด้วยการทำสัตยาบันกับอนาคตใหม่ และอีก 5 พรรคไว้แล้ว แต่พรรคพลังประชารัฐก็ไม่ได้หวั่นไหว

อ้างว่าผลเลือกตั้งที่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยคาดการณ์ว่า ได้เสียงเกินครึ่งคือ 255 เสียงนั้น

เป็นผลการนับคะแนนเลือกตั้ง 95 เปอร์เซ็นต์ แกนนำพลังประชารัฐมั่นใจมากๆ ว่า เมื่อกกต.ประกาศผลครบร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อไหร่ พรรคจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน

และแล้วการแถลงผลคะแนนร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างไม่เป็นทางการของ กกต. เมื่อวันที่ 28 มีนาคม หลังเลือกตั้งผ่านไปแล้ว 4 วัน ก็ไม่ทำให้ฝ่ายนี้ผิดหวัง

ขณะเดียวกันก็สร้างความเคลือบแคลงให้บรรดาพรรคการเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชน นักศึกษาและประชาชนทั่วไปหนักหน่วงมากกว่าเดิม

เช่นประเด็นตัวเลขผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มี.. กกต.ประกาศไว้ 51,205,654 คน แต่ในการแถลง 28 มีนาคม กกต.ประกาศว่ามี 51,239,638 คน เพิ่มขึ้น 34,014 คน

ส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากคือจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์

ประธาน กกต.แถลงหลังปิดหีบ วันที่ 24 มีนาคมว่า มีผู้มาใช้สิทธิ์ 65.96 เปอร์เซ็นต์ หรือ 33,775,230 คน แต่ล่าสุด รองเลขาฯ กกต.แถลงว่ามีผู้มาใช้สิทธิ์ทั้งสิ้น 74.69 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็น 38,268,375 คน

เพิ่มขึ้นถึง 4,493,145 คน

ในประเด็นนี้ทั้งเพื่อไทยและอนาคตใหม่มองตรงกันว่า เป็นข้อพิรุธชัดเจน พร้อมยืนยันข้อเรียกร้องเดิมให้ กกต.เปิดเผยผลคะแนนแบบรายหน่วย เพื่อความโปร่งใส ขจัดข้อครหาตกแต่งตัวเลข

เพิ่มประโยชน์ให้บางพรรคการเมือง

หากจะว่าไปแล้ว วิกฤตเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากเรื่องของกฎกติกาที่แกนนำพรรคพลังประชารัฐเคยพูดเองว่ารัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อเรา

ส่วนหนึ่งเริ่มฉายแววมาตั้งแต่การแบ่งเขตเลือกตั้งต่อมาก็เป็นการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร และเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต เมื่อวันที่ 17 มี.. ที่เกิดความสับสน และปัญหาข้อผิดพลาดต่างๆ มากมาย

อาทิ ปัญหาบัตรเลือกตั้งนิวซีแลนด์กว่า 1,500 ใบ ที่ กกต.ประกาศให้เป็นบัตรเสีย หรือการแจกบัตรผิดเขตให้ ผู้มาใช้สิทธิ์ ที่ตรวจสอบไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าใดกันแน่

จนมาถึงวันเลือกตั้งจริงที่ปรากฏว่า บัตรเลือกตั้งที่ใช้ไปไม่ตรงกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ ที่กกต.ใช้คำว่าบัตรเขย่งถึงจะมีจำนวนไม่มาก

แต่เมื่อรวมกับปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลัง ทั้งการนับคะแนนที่ไม่ต่อเนื่องจนเสร็จสิ้น จำนวนบัตรเสียที่มาก กว่า 2 ล้านใบ ฯลฯ

ตลอดจนสูตรการนำคะแนนเลือกตั้ง ผู้สมัครส..แบบเขต มานับคำนวณเป็นส..บัญชีรายชื่อ ที่มีความยุ่งยากซับซ้อนเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจ

ยังเป็นการเปิดช่องให้มีคนแอบอ้างชื่อ กกต. จัดทำสูตรคำนวณแบบมั่วนิ่ม ลดตัวเลขส..ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ให้เกินครึ่ง แล้วไปเพิ่มที่นั่งพรรคฝ่ายตรงข้าม ให้เพียงพอต่อการรวบรวมจัดตั้งรัฐบาล

เหล่านี้ทำให้สังคมตั้งคำถามดังๆ กับ กกต. ทั้งในแง่ประสิทธิภาพการทำหน้าที่ ความโปร่งใส สุจริตเที่ยงธรรม และความรับผิดชอบว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใด

การเลือกตั้ง 24 มีนาคม แม้ทุกคนรู้ดีว่าเป็นการเลือกตั้งบนกติกาที่ไม่เป็นธรรม แต่ประชาชนยังมุ่งหวังว่าจะได้ความยุติธรรมจาก กกต.ในการทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง

แต่จากสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เห็นได้ว่าการทำหน้าที่ของ กกต.ทำให้คนไทยทั้งประเทศและต่างประเทศ เกิดความเคลือบแคลงสงสัย

มาถึงจุดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีคนร่วมเข้าชื่อถอดถอน กกต.ผ่านเว็บไซต์ในโลกโซเชี่ยลแล้วเกือบล้านคน และกำลังลุกลามออกมานอกโลกโซเชี่ยลกระจายไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ

ขบวนการอุ้มคนคนเดียวกลับมามีอำนาจ

ไม่ใช่เรื่องง่ายดายตามโรดแม็ปที่วางไว้เสียแล้ว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน