จับตาปมร้อนหลังสงกรานต์
จับตาปมร้อนหลังสงกรานต์ : หลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคมเป็น ต้นมา ผ่านเข้าสู่ช่วงหยุดยาวสงกรานต์
แทนที่จะเป็นพรรคอันดับ 1 เพื่อไทย กลับเป็นพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกฝ่ายต้องการสืบทอดอำนาจ เปิดเกมลุยกระชับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
สะท้อนผ่านการงัดคดีมาตรา 116 เมื่อ 4 ปีก่อน ขึ้นมาดำเนินการกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และการประเคนข้อกล่าวหาหมิ่นศาลเข้าใส่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาฯพรรค
เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า อาการก้าวกระโดดของอนาคตใหม่ จากพรรคม้านอกสาย กลายมาเป็นพรรคอันดับ 3 ด้วยตัวเลขคะแนนรวมกว่า 6.26 ล้านคะแนน จะเป็นรองก็แค่พรรคเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ แต่เหนือกว่าทั้งประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และชาติพัฒนา
สถานการณ์เช่นนี้ย่อมอยู่นอกเหนือความคาด หมายของฝ่ายหวังจะใช้การลงสนามสู้ศึกเลือกตั้ง บุกเบิกไปสู่การสืบทอดอำนาจอย่างสะดวกสบาย เนื่องจากได้เขียนกฎกติกาต่างๆ ไว้อย่างรอบคอบรัดกุม
รวมถึงการออกแบบสนามแข่งขัน จัดวางตัวกรรมการผู้ตัดสิน ตลอดจนการดึงเวลาเลื่อนเลือกตั้งออกไปถึง 5 ครั้ง รอจนกระทั่งฝ่ายตนเองอยู่ในสภาพพร้อมสูงสุด จึงยอมปลดล็อก เปิดสนามแข่งขัน
ลำพังการที่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งกุมความได้เปรียบไว้ทุกด้านในช่วงก่อนลงสนามแข่งขัน กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับพรรคเพื่อไทยที่ตกเป็นรองมาตั้งแต่ต้น นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอยู่แล้ว
Advertisement
แต่การเข้ามาเป็นอันดับ 3 ของพรรคอนาคตใหม่นั้น เป็นการทุบทำลายเกมสืบทอดอำนาจจนแหลกสลาย
เป็นฝันร้ายของพรรคฝ่ายตรงข้ามอย่างแท้จริง
หลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม การที่แกนนำพรรคพลังประชารัฐพยายามอ้างผลป๊อปปูลาร์โหวต
คือสัญญาณแรกเริ่ม ฉายให้เห็นว่าฝ่ายสืบทอดอำนาจจะไม่ยอมให้พรรคเพื่อไทยซึ่งได้รับเลือกตั้ง ส.ส.เข้ามามากที่สุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 137 ที่นั่ง เป็นแกนนำรวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลได้ง่ายๆ
แต่เนื่องจาก 137 ที่นั่งของพรรคเพื่อไทย เป็นตัวเลขที่ได้จากผู้สมัครส.ส.ระบบเขตแบบเพียวๆจึงเป็นเรื่องยากจะแก้ไขให้เป็นอื่นได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ การหันมาเล่นแร่แปรธาตุกับสูตรคำนวณเพื่อให้ได้มาซึ่ง 150 ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หรือ ปาร์ตี้ลิสต์ ด้วยการพุ่งเป้าไปยังการลดทอนที่นั่งพรรคอันดับ 3 พรรคอนาคตใหม่
จึงมีโอกาสลุ้นที่จะพลิกเกมตั้งรัฐบาล ได้มากกว่าความพยายามตั้งหน้าตั้งตาตาม“สอย”ที่นั่งพรรคเพื่อไทย ซึ่งต้องทำยอดให้ได้มากกว่า 20 ที่นั่ง ซึ่งจะเป็นเรื่องโจ๋งครึ่มเกินกว่าเหตุ
ตามรูปการณ์ประมาณนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พรรคอนาคตใหม่จะกลายเป็นตำบลกระสุนตก ไม่ว่าในรูปแบบการส่งศาลทหาร ดำเนินคดีร้ายแรงกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ข้อหายุยง ปลุกปั่น เป็นภัยต่อความมั่นคง ตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 หรือการลดทอนขนาดพรรคอนาคตใหม่ ด้วยสูตรคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต. เปิดเผยผลคะแนนเลือกตั้งร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ก็ได้มีการเผยแพร่สูตรวิธีการคำนวณหาส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ผ่านสื่อมวลชนอย่าง น้อย 2 แบบหลักๆ ด้วยกัน
สูตรแรก จากนักวิชาการ นักกฎหมาย และนักคณิต ศาสตร์ชื่อดังหลายคน คำนวณตามวิธีที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 91 กับพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 128
ตามสูตรนี้ พรรคการเมืองที่ได้ส.ส.ทั้งสองระบบ จะจำกัดอยู่ในวง 16 พรรค ซึ่งได้คะแนนรวมสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยส.ส.พึงมี 1 ที่นั่ง หรือ 7.1 หมื่นคะแนน
และเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่ได้ส.ส.รวม กัน 253 ที่นั่ง จากทั้งหมด 500 ที่นั่ง แบ่งเป็น เพื่อไทย 137 อนาคตใหม่ 87 เสรีรวมไทย 11 เศรษฐกิจใหม่ 6 ประชาชาติ 6 เพื่อชาติ 5 และพลังปวงชนไทย 1
ขณะที่สูตรวิธีคำนวณของ กกต. จะเป็นการกระจาย ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ให้กับพรรคการเมืองมากกว่า 25 พรรค ในจำนวนนี้มีมากกว่า 10 พรรค ได้คะแนนเลือกตั้งรวมน้อยกว่าเกณฑ์ส.ส.พึงมี 1 ที่นั่ง คือได้เพียง 6.9 หมื่นไล่เรียงลงไปจนถึงพรรคที่ได้แค่ 3.3 หมื่น
ด้วยสูตรวิธีคำนวณของ กกต. ประเด็นสำคัญอยู่ตรงพรรคอนาคตใหม่ ได้รับแรงสะเทือนมากที่สุด เนื่องจากเก้าอี้ส.ส.จะลดลงไปจาก 87 ที่นั่งตามสูตรแรก เหลือเพียง 80 ที่นั่ง
อันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังจำนวนที่นั่ง ส.ส. โดยรวมในซีกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนหลัก ได้ไม่ถึง 250 เสียง หรือไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมจาก ฝั่งนักวิชาการ นักการเมืองฝ่ายต่อต้านสืบทอดอำนาจ รวมถึงกลุ่มประชาชนผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ หรือกลุ่มฟ้ารักพ่อ
บางกลุ่มรวมตัวเรียกร้องให้ กกต.เปิดเผยวิธีการคำนวณที่ชัดเจน เพราะเห็นว่าการแจกเก้าอี้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 ที่นั่งให้กับพรรคที่ได้คะแนนรวมต่ำกว่าเกณฑ์ 7.1 หมื่น
เป็นวิธีการเอาชนะที่อาจขัดต่อเจตนารมณ์ รัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์กำหนดในพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 128 (5) ที่เขียนไว้ชัดเจนโดยละเอียด
“ถ้าพรรคการเมืองใดมีผู้ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่ากับหรือสูงกว่าจำนวนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นพึงมีได้ตาม (2) ให้พรรคการเมืองนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามจำนวนที่ได้รับจากการเลือก ตั้งแบบแบ่งเขต เลือกตั้ง และไม่มีสิทธิได้รับการจัดสรรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และให้นำจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อทั้งหมดไปจัดสรรให้แก่ พรรคการเมืองที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต่ำกว่า จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม (2) ตามอัตราส่วน แต่ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดดังกล่าวมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินจำนวน ที่จะพึงมีได้ตาม (2)”
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์และเสียงเตือนแบบแรงๆ
การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในการให้คุณกับ พรรคการเมืองกลุ่มหนึ่ง และให้โทษกับพรรคการเมืองอีกกลุ่มหนึ่ง อาจทำให้ กกต.ชุดปัจจุบันต้องประสบเคราะห์กรรมร้ายแรง เหมือนกับอดีตกกต.บางชุด ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก
อย่างไรก็ตามดูเหมือน กกต.ชุดปัจจุบันมีความมั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่จัดการเลือกตั้งอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกพรรค
นอกจากเข้าแจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่น ประมาทกับประชาชนที่ร่วมรณรงค์เข้าชื่อถอดถอนผ่านเว็บไซต์ ล่าสุดยังมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณหาส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
เพื่อชี้ขาดข้อสงสัยว่า การคำนวณหาส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพื่อให้ได้ครบ 150 คน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 วรรคสาม ประกอบพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 128
ซึ่งอาจทำให้พรรคการเมืองบางพรรคที่มีจำนวน ส.ส.ที่จะพึงมีได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อ 1 คน ได้จำนวนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน กกต.จะดำเนินการได้หรือไม่ และการดำเนินการดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 91 หรือไม่ โดย กกต.เข้ายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ช่วงก่อนวันหยุดสงกรานต์แล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อให้กระบวนการทุกอย่างได้คำตอบก่อนวันที่ 9 พฤษภาคม ตามที่ กกต.กำหนดให้เป็นเส้นตายประกาศผลเลือกตั้ง 24 มีนาคม และการเลือกตั้งใหม่ 6 หน่วย 5 จังหวัด วันที่ 21 เมษายน อย่างเป็นทางการ
หลังสงกรานต์ จึงต้องจับตากันต่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับข้อสงสัยของ กกต.ไว้พิจารณาตีความหรือไม่
ถ้าไม่รับเพราะถือว่าเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นจริง กกต.ก็ต้องแบกรับแรงกดดันจากสังคมฝ่ายเดียวต่อไป
แต่หากศาลฯรับไว้ก็ต้องลุ้นกันต่อว่า ผลตีความจะออกมาอย่างไร
จะนำไปสู่ทางออก อันเป็นจุดสิ้นสุดของความขัดแย้งได้จริงหรือไม่