ยุทธการเตะสกัดขาพรรคอนาคตใหม่โดยถือเอา นายธนาธร จึงรุ่ง เรืองกิจ กับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นเหมือนกระดานหก เริ่มดำเนินการอย่างเข้มข้น
เป็นระบบ เป็นกระบวนการ
ทาง 1 เป็นการขับเคลื่อนโดยคสช. เริ่มจากแจ้งความกล่าวโทษ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่สน.ปทุมวัน ตามด้วยการแจ้งความกล่าวโทษ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่บก.ปอท.
สน.ปทุมวันโยงถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 บก.ปอท.ระบุดุเดือดถึงขั้นหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ
ทาง 1 ผ่านกระบวนการของกกต.
หยิบยกเอาการถือหุ้นของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในบริษัทสื่อแจ้งข้อกล่าวหาก่อนวันที่ 9 พฤษภาคม
หากประเมินจากท่าทีในการตั้งรับไม่ว่าจะจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่าจะจาก นายปิยบุตร แสงกนกกุล เหมือนกับที่สุมรุม เข้ามามิได้เป็นหมัดเด็ด
เพราะเป็นเรื่องเก่าหลายปีก่อนการเลือกตั้ง
เรื่องของ นายธนาธร จึงรุ่งเรือง กรณีถือหุ้นบริษัทสื่อก็เป็น เรื่องเมื่อ 2 ปีก่อน กรณีที่สน.ปทุมวันก็เป็นเรื่องเมื่อ 4 ปีก่อน
เรื่องของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ก็เมื่อเดือนกุมภาพันธ์
แต่อย่าลืมเป็นอันขาดว่า กรณีของ สน.ปทุมวัน กรณีของบก.ปอท. เป็นการรับลูกกันระหว่างคสช.กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนเข้าไปยังอัยการและศาลยุติธรรม
ขณะที่กรณีของบริษัทสื่อเป็นการรับลูกอย่างรวดเร็วระหว่าง นักร้องขาประจำและกกต. เป้าหมายที่วางไว้คือ “ใบส้ม”
แม้จะสะดุดชะงักไปบ้าง แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการไต่สวนก็จะทวีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ความหมายก็คือ ต้องจัดการก่อนถึงวันที่ 9 พฤษภาคม
เป้าหมายต่อไป คือ จัดการกับพรรคอนาคตใหม่
เป็นไปได้ว่าตามพิมพ์เขียวไม่น่าจะมีเพียง 3 คดีต่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และต่อ นายปิยบุตร แสงกนกกุล น่าจะมีอีกหลายคดีตามมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
คำถามอยู่ที่ว่าจะใช้กลไกใดเป็น “กองหน้า”
คำถามอยู่ที่ว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรคอนาคตใหม่จะตั้งรับอย่างไร
เพราะเป้าหมายอยู่ที่การทำให้เป็น “อนาคตหมด”