ท่าทีอันดุเดือด ร้อนแรง ซึ่งมาจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล 2 ผู้นำแห่งพรรคอนาคตใหม่ มีรากฐานมาอย่างไร
1 มาจากความรู้สึกว่ากระบวนการที่ กกต.กระทำต่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ดำเนินไปอย่างไม่เป็นธรรม
1 มาจากความรู้สึกที่ขมวดออกมาเป็นคำพูดได้ว่า
“เรารู้ว่าตอนนี้คสช.อยู่ในช่วงขาลง ไม่มีทางที่จะครองอำนาจอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เวลาอยู่ข้างประชาชน ผมจะรอจนกว่าคสช.หมดอำนาจ แล้วถึงจะฟ้องดำเนินคดีกับคนที่ตัดสินคดีผมโดยไม่มีหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์รองรับ”
ประเด็นอยู่ตรงประโยค “ตอนนี้คสช.อยู่ในช่วงขาลง ไม่มีทางที่จะครองอำนาจอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ”
หากดูจากการที่คสช.ส่งคนไปแจ้งความกล่าวโทษที่สน.ปทุมวัน และที่บก.ปอท.เพื่อดำเนินคดีกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล
เหมือนกับ “อำนาจ”ยังอยู่ในมือ “คสช.”อย่างเต็มเปี่ยม แกล้วกล้าสามารถเรียกลมเรียกฝนได้
เพราะหลังกัมปนาทแห่ง “ซ้ายจัดดัดจริต”ปรากฏขึ้น
ก็ปรากฏการณ์เคลื่อนไหวของบรรดาลุงๆป้าๆอย่างพร้อมเพรียงกัน กระทั่ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ต้องเสียเวลาชี้แจงในเรื่องหุ้น รวมถึงการเดินทางเมื่อวันที่ 8 มกราคม แทบไม่แตกต่างไปจากพังเพยที่ว่า “ลิงแก้แห”
เหตุใดจึงประเมินและสรุปออกมาว่า “ตอนนี้คสช.อยู่ในช่วงขาลง”
หรือเพราะว่าจนแล้วจนรอด 8.4 ล้านคะแนนเสียงที่อยู่ในมือของพรรคพลังประชารัฐ ก็มิอาจเทียบได้กับ 6.2 ล้านเสียงของพรรคอนาคตใหม่และ 7.9 ล้านเสียงของพรรคเพื่อไทยได้
และไม่แน่ว่ารัฐบาลพรรคพลังประชารัฐจะรูปร่างอย่างไร
ชะตากรรมของคสช.จึงมิอาจดำรงอยู่ได้อย่างเอกเทศ เหมือนกับในห้วงหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เพราะต้องพึ่งพิงอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐก็ไม่แน่ใจในอนาคตของตนเอง
และปฏิเสธบทบาท ความหมายของพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้
อนาคตของคสช.จึงอยู่บนฐานอันเริ่มไม่แน่นอน