หากมองจากมุมของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจของคสช. ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์อาจ สร้างความหงุดหงิด
เพราะแตกต่างจากของพันธมิตร 7 พรรคอย่างสิ้นเชิง
นั่นก็คือ แตกต่างจากความเฉียบขาดอันมาจากพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนชาวไทย
กระนั้น หากนำเอาพรรคประชาธิปัตย์ไปวางเรียงกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังท้องถิ่นไท พรรคประชาชนปฏิรูป ก็จะเห็นความแตกต่าง
นั่นก็คือไม่ถึงกับอ้าขาผวาปีก นั่นก็คือ ไม่ถึงกับรุนแรงและแข็งกร้าว
ความจริง ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์เป็นตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมมาแล้ว
สัมผัสจากความชัดเจนของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
อย่าลืมว่า 2 แนวทางของพรรคประชาธิปัตย์คือ 1 ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี 1 ต่อต้านประชาธิปไตยที่ไม่สุจริต
แม้ความหมายของประชาธิปไตยไม่สุจริตจะเน้นไปยังสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” แต่ก็แทบไม่แตกต่างไปจากประชาธิปไตยในแบบของพรรคพลังประชารัฐเท่าใดนัก
ภายหลังการเลือกตั้ง ภายหลัง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ก็วนอยู่โดยรอบกับ 2 แนวทาง 2 หลักการข้างต้น
ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เหมือนกับท่าทีของพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกัน ก็พยายามต่อรองอย่างเต็มกำลังเมื่อต้องดีลกับพรรคพลังประชารัฐ
อาจสร้างความหงุดหงิดบ้างแต่นี่คือ พรรคประชาธิปัตย์
เด่นชัดแล้วว่า ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมทำให้พรรคประ ชาธิปัตย์จำเป็นต้องขบคิดอย่างจริงจัง เพราะการตัดสินใจจะร่วมหรือไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐมีผลสะเทือน
บ่งชี้ให้เห็นว่าอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร
จะกลายเป็นหางเครื่องของคสช.และพรรคพลังประชารัฐ หรือจะสามารถผงาดขึ้นมายืนอีกครั้งหนึ่ง
และคำตอบจะเห็นได้ในวันที่ 5 มิถุนายน