คอลัมน์ บทบรรณาธิการ

กรณีเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรมเยาวชนชนเผ่าลาหู่ วัย 17 ปี เสียชีวิต โดยอ้างว่าเหยื่อวิ่งหนีขณะตรวจค้นยาเสพติด และเตรียมขว้างระเบิดเข้าใส่ จึงต้องหยุดยั้งและป้องกันตัว

พร้อมกันนี้ ยังตรวจพบยาบ้าอีกจำนวนหนึ่ง ซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์ที่เหยื่อและเพื่อนขับมา เหตุเกิดที่ด่านถาวรบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

ทำให้มีคำถาม พิรุธ และข้อสงสัยตามมาอย่างต่อเนื่องว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต สมควรแก่เหตุ และละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ หลายองค์กรจึงเรียกร้องให้สอบสวนอย่างตรงไปตรงมา

รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศก็ออกแถลงการณ์จี้รัฐบาลไทยด้วย

ก่อนหน้านี้ แม้ว่าทั้งโฆษกกองทัพบก และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะชี้แจง ข้อเท็จจริงแล้ว แต่ก็ไม่อาจทำให้พิรุธและ ข้อสงสัยต่างๆ หายไป กลับยิ่งเพิ่มความกังขาว่าจะเป็นการแถลงเพื่อปกป้องกันเองหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่เกิดเหตุเป็นด่านตรวจถาวร มีเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่เข้มแข็งและเข้มงวด ยิ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ว่า ขับรถขนยาเสพติดเข้าไปให้ตรวจ อีกทั้งประวัติของผู้ตายก็ไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดมาก่อน

นอกจากนี้ ยังเป็นเยาวชนที่เข้าร่วมรณรงค์เรียกร้องการแก้ปัญหาภาวะไร้สัญชาติของคนชาติพันธุ์ แกนนำจัดค่ายเยาวชนชนเผ่า ได้รับเลือกเป็นประธานเครือข่ายต้นกล้าเยาวชนพื้นเมือง และร่วมกิจกรรมวัฒนธรรมอื่นๆ เพื่อให้ห่างไกลยาเสพติดด้วย

รัฐบาลจึงควรตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนโดยเร็ว

ขณะนี้ เป็นที่น่ายินดีที่นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งจะต้องไม่ใช่เป็นการดำเนินการโดยกองทัพ และหน่วยราชการ ฝ่ายเดียว เพราะอาจจะถูกครหาว่าเข้าข้างกันได้

ล่าสุด แม้ว่าได้นำตัวผู้ที่ลงมือยิงไปมอบตัวเพื่อดำเนินคดี ถูกแจ้งข้อหาฆ่าคนตาย และปล่อยตัวชั่วคราวไปแล้ว

แต่หากลงเอยเหมือนสำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ผ่านๆ มา คือสั่งไม่ฟ้องเจ้าหน้าที่ เพราะกระทำตามความจำเป็น

น่าเป็นห่วงว่า จะกลายเป็นประเด็นปัญหาที่ยืดยาวต่อไปไม่สิ้นสุด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน