เมื่อมีการร้องเรียนไปยังศาลรัฐธรรมนูญระบุความผิดของพรรคอนาคตใหม่ว่าใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย และเสนอให้มีการยุบพรรค ตัดสิทธิทางการเมือง
และพลันที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณา
การเมืองหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ก็เข้าสู่อีกมิติอันมากด้วยความแหลมคม
ด้านหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อที่ว่าพรรคอนาคตใหม่มี พฤติการณ์ในลักษณะที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย กำลังขยายตัวและกลายเป็นขบวนการ
ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง ก็นำไปสู่ภาพเปรียบเทียบกับความเป็นจริงทางการเมืองอย่างอัตโนมัติ
โดยเฉพาะจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
หากไม่นำเอาสภาพการก่อรูปก่อนและหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มาวางเรียงเคียงขนานกับการก่อรูปของพรรค อนาคตใหม่จะไม่เห็นภาพเด่นชัด
การเคลื่อนไหวก่อนเดือนพฤษภาคม 2557 นั้นชัดอย่างยิ่ง
ชัดว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ทั้งๆที่เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชน
ขณะที่การเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่นับแต่จดแจ้งต่อ นายทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อเดือนมีนาคม 2561 เป็นต้นมาเป็นการเคลื่อนไหวภายในกรอบของกฎหมาย
ไม่ว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ว่ากฎหมายพรรคการเมือง ไม่ว่ากฎหมายเลือกตั้ง
เป็นการเล่นตามกฎ เป็นการเล่นตามกติกา
คะแนนเสียงอันพรรคอนาคตใหม่ได้มา 6.3 ล้าน จำนวนส.ส.อันพรรคอนาคตใหม่ได้มา 81 คน ก็เพราะการตัดสินใจเลือกของประชาชน
มิได้มีการขู่เข็ญบังคับ มิได้มีการใช้เงินหรือใช้อำนาจ
พลันที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องในประเด็นเห็นว่าพรรคอนาคตใหม่ใช้เสรีภาพเพื่อล้มล้างระบอบการปกครองในระบบประชาธิปไตย จึงเร้าความสนใจใคร่รู้ของประชาชนเป็นอย่างสูง
ใคร่รู้ในการตัดสินใจของประชาชนกว่า 6.3 เสียงว่าเหตุใดจึงเลือกพรรคอนาคตใหม่
เพราะเห็นแก่อามิส เพราะถูกหลอกลวงหรือหลงผิด