หากมองจากมุมสภาแบบเก่า การอภิปรายในท่วงทำนองแบบ ไม่ว่าของนายปิยบุตร แสงกนกกุล ไม่ว่าของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ไม่ว่าของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ดำเนินไปอย่างแปลกแปร่ง รุงรังด้วยศัพท์แสงใหม่ อิงอ้างอยู่ กับภาษาต่างประเทศ
ไม่เพียงภาษาอังกฤษ หากบางครั้งยังเป็นภาษาฝรั่งเศส
นี่ย่อมแตกต่างไปจากท่วงทำนองที่เคยชินในแบบของ นายชวน หลีกภัย ในแบบของ นายสมัคร สุนทรเวช หรือในแบบของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
กระนั้น เมื่อผลการสำรวจจากโพลแต่ละสำนักปรากฏกลับมีคะแนนให้กับ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ออกมาค่อนข้างสูง
นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ไม่มีใครคาดว่าจะเป็นไปได้
หากติดตามรับฟังบทสรุปจากปัญญาชนนักวิชาการในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่ว่าจะจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ล้วนให้การยอมรับกับการได้รับความสนใจของบุคคลากรจากพรรคอนาคตใหม่ว่าเป็นความหวังในทางการเมือง
แต่ภายในการยอมรับนั้นก็ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ส.ส.จากพรรคอนาคตใหม่ยังไม่สามารถประสานตนเข้ากับชาวบ้านโดยเฉพาะในชนบทได้อย่างแนบแน่น
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เองก็เคยสรุปว่า เขายังเก้ๆกังๆเมื่ออยู่เบื้องหน้าชาวบ้านอย่างที่เรียกกันว่า “รากหญ้า” ยังไม่สันทัดในการใช้ภาษาได้อย่างกลมกลืน
คนที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยกย่องว่าทำได้ดีคือกระบวนท่าในแบบของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับชาวบ้านได้อย่างยอดเยี่ยม
จึงน่าสงสัยว่าความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่มาอย่างไร
หากมองอย่างเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางสังคม การเมืองและในตัวบุคลากร การเปลี่ยนแปลงนั้นดำเนินไปในทุกจุด ไม่เพียงแต่ในด้านของนักการเมือง
มีความเป็นไปได้ที่ชาวบ้านก็เริ่มเปิดรับกับการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน
เพียงแต่ยังมิอาจ “สมาน”อย่างเป็นเนื้อเดียวกันได้เนียนนุ่ม
นี่จึงเป็นเรื่องของการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน