คอลัมน์ ข่าวสดต่างประเทศ

สกู๊ปพิเศษ

บรรยากาศตึงเครียดด้านการทหารและแข่งขันด้านอาวุธอย่างชนิดไม่เกรงอกเกรงใจกันของชาติผู้เกี่ยวข้องในสงครามและความขัดแย้งขณะนี้มีจุดเริ่มต้นจากใครหรือประเทศใด เริ่มไม่แน่ชัดแล้ว

เพราะทุกประเทศที่เกี่ยวข้องเริ่มปล่อยยุทธศาสตร์รบออกมาเป็นระลอก

โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการศึกใดๆ มาก่อน

หลังจากเพิ่งสั่งยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์ก 59 ลูกเข้าไปถล่มฐานทัพในซีเรียเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ไม่เพียงก่อคลื่นเขย่าความสัมพันธ์กับรัสเซีย มหาอำนาจผู้ปกป้องซีเรีย อย่างน่าตกใจ

ยังส่งสัญญาณ “ขู่” ไปถึงรัฐบาลเผด็จการเกาหลีเหนือ ที่เพิ่งถูกวาทะของท่านทรัมป์ที่ว่า “ถ้าจีนไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร สหรัฐจะจัดการกับเกาหลีเหนือเอง”

ความเดิมยังไม่หาย ความใหม่ก็ตามมา

วันที่ 13 เม.ย. กองทัพสหรัฐงัดเอาอาวุธพิเศษที่ยังไม่เคยใช้ถล่มศัตรูที่ไหนมาก่อน ไปทิ้งบอมบ์ใส่ในประเทศอัฟกานิสถาน สมรภูมิเดิมที่เคยเปิดฉาก “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” ตั้งแต่เมื่อปี 2544

อ้างว่า ต้องการถล่มใส่อุโมงค์และถ้ำของกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอส ที่ซ่องสุมอยู่ในพื้นที่เขตอาชิน จังหวัดนันการ์ฮาร์ ภาคตะวันออกของประเทศ

หลังจากในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ พื้นที่ ดังกล่าวเกิดการสู้รบอย่างดุเดือดระหว่างทหารอัฟกานิสถานกับกองกำลังไอเอส

แม้ผลของการระเบิดจะทำให้ไอเอสเสียชีวิตไป 36 ราย แต่แรงสั่นสะเทือนโลกครั้งนี้อยู่ที่ตัวระเบิดที่ได้ชื่อว่า Mother of All Bombs หรือ “ระเบิดตัวแม่” มีชื่อเป็นทางการว่า GBU-43 หรือ Massive Ordnance Air Blast

นายอดัม สตัมป์ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือ เพนตากอน ระบุว่า ระเบิดมีน้ำหนัก 9,800 กิโลกรัม ทิ้งจากเครื่องบิน MC-130

สหรัฐประเมินว่า ขณะนี้มีนักรบไอเอสในอัฟกานิสถานอยู่ราว 600-800 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดนันการ์ฮาร์หลังไอเอสประกาศจัดตั้งไอเอส สาขาโคราซาน เมื่อเดือนมกราคม 2558 ทางกองทัพสหรัฐเรียกว่า กลุ่มไอซิสเค

แม้นายอิสมาอิล ชินวารี ผู้ว่าการเขตอาชิน จุดที่ถูกระเบิดลง กล่าวว่า จุดที่สหรัฐโจมตีไม่มีบ้านเรือนพลเรือนอยู่ จึงไม่มีรายงาน ผู้บาดเจ็บ แต่นายฮามิด คาร์ไซ อดีตประธานา ธิบดีอัฟกานิสถาน โพสต์ประณามว่า การใช้ระเบิด GBU-43 MOAB ในพรมแดนของอัฟกานิสถานนั้นไร้มนุษยธรรมและล้ำเส้นเกินไปแล้ว

“นี่ไม่ใช่สงครามต่อต้านการก่อการร้าย แต่เป็นการใช้แผ่นดินของเราในทางที่ผิดอย่างไร้มนุษยธรรมและโหดร้ายเพื่อเป็นที่ทดลองอาวุธใหม่และอันตรายเช่นนี้”

ผู้นำอีกคนที่ปรากฏตัวออกมาในช่วงเวลาตึงเครียดนี้ก็คือ นายบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรีย

เปิดใจให้สัมภาษณ์พิเศษสำนักข่าวเอเอฟพีของชาติตะวันตก หลังจากได้รับการ “อุ้ม” อีกครั้งจากรัฐบาลรัสเซียให้รอดพ้นมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่จะเข้าไปตรวจสอบอาวุธต้องสงสัยในซีเรีย

กรณีเกิดเหตุการณ์เมืองข่านชีกฮุนถูกโจมตีด้วยอาวุธเคมี ที่เมืองข่านชีกฮุน แคว้นอิดลิบ ประเทศซีเรีย เมื่อวันที่ 4 เม.ย. เป็นที่สะเทือนขวัญไปทั่วโลก ด้วยยอดผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 87 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 31 ราย

แต่นายอัสซาดกล่าวว่าจะต้องเป็นการตกแต่งเรื่องขึ้นอย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพื่อเปิดทางให้กองทัพสหรัฐอเมริกาเข้าถล่มซีเรีย

“นี่เป็นเรื่องเสกสรรปั้นแต่งขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ความคิดของเราก็คือ ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกานั้นใส่ถุงมือที่จับมืออยู่กับผู้ก่อการร้าย พวกเขาแต่งเรื่องทั้งหมดขึ้นเพื่อจะได้เปิดฉากการโจมตี”

นายอัสซาดยืนกรานว่ากองทัพซีเรียส่งมอบอาวุธเคมีทั้งหมดให้แก่หน่วยงานของสหประชาชาติไปหมดแล้วในปี 2556 ไม่มีทางจะอยู่เบื้องหลังการใช้แก๊สซารินได้

เมื่อนักข่าวถามถึงภาพเหยื่อที่ทารุณทุรายจากพิษของเคมี นายอัสซาดกล่าวว่า “นั่นยังไม่ชัดเลยว่าเกิดเหตุการณ์จริงหรือเปล่า เพราะเรายังตรวจสอบวิดีโอไม่ได้ ตอนนี้มีวิดีโอปลอมเต็มไปหมด คุณไม่รู้หรอกว่าเด็กที่ตายนั่นถูกสังหารในข่านชีกฮุนหรือไม่ แล้วตายหมดจริงหรือเปล่า ข่านชีกฮุนไม่ได้มีความหมายในทางยุทธศาสตร์ ไม่ได้อยู่ในแนวรบ เรื่องนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย”

การเผชิญหน้ากับนายอัสซาดที่มี ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน หนุนหลัง อาจดูเป็นความตึงเครียดหนัก แต่ก็ไม่ถึงกับจะชนกันวันนี้วันพรุ่ง

โดยเฉพาะเมื่อนายทรัมป์ระบุว่า ความสัมพันธ์ของสหรัฐและรัสเซียน่าจะดีขึ้นได้ เมื่อทุกฝ่ายมาพบกันอย่างถูกที่ถูกเวลาและจะมีเสรีภาพอย่างยั่งยืน

เป็นการส่งสัญญาณว่า เส้นทางของการเจรจายังเปิดอยู่

ผิดกับการเผชิญหน้ากับเกาหลีเหนือ ภายใต้การควบคุมของท่านผู้นำอายุน้อย คิม จองอึน โดยเฉพาะเมื่อวาระสำคัญของประเทศ ครบรอบ 105 ปีชาตกาลของ คิม อิลซุง มาถึงในวันที่ 15 เม.ย.

สหรัฐและชาติพันธมิตรประเมินว่า เกาหลีจะทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 เพื่อเฉลิมฉลองวาระนี้ หลังพบความเคลื่อนไหวในเขตทดสอบนิวเคลียร์พุง-กเยรี อย่างชัดเจนในเวลานี้

อีกทั้งยังเป็นช่วงที่เกาหลีเหนือเพิ่งแถลงประณามสหรัฐอเมริกาที่นำเอายุทธศาสตร์การใช้นิวเคลียร์เข้ามาในภูมิภาคคาบสมุทรเกาหลี กรณีเคลื่อนกองเรือรบบรรทุกเครื่องบินมุ่งหน้ามายังคาบสมุทรเกาหลี

“นี่เป็นการคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงของคาบสมุทรอย่างร้ายแรงรวมไปถึงเป็นการยกระดับสถานการณ์ให้สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดสงคราม การกระทำของสหรัฐเป็นการสร้างความสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดสงครามนิวเคลียร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาบนคาบสมุทรเกาหลี อีกทั้งยังก่อให้เกิดกการคุกคามต่อสันติภาพโลกและความมั่นคง”

ท่ามกลางความตึงเครียดนี้ดูเหมือนว่าชะตากรรมของโลกจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเหล่าผู้นำที่แม้มีอุดมการณ์ต่างกัน

แต่มีส่วนคล้ายกันในเรื่อง “ตั้งตนเองเป็นใหญ่” !!!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน