หน้าตาตู่ไม่ใช่ของเรา

คอลัมน์ ใบตองแห้ง

หน้าตาตู่ไม่ใช่ของเรา – ผู้อยู่อาศัยในเมืองทองธานีบ่นอุบ โดนปิดถนนตั้งแต่ ช่วงซักซ้อมเตรียมจัดประชุมอาเซียน เดี๋ยวช่วงประชุมจริง ยังต้องปิดถนนในกรุงและทางด่วนเป็นพักๆ เพราะจะมีขบวนผู้นำเคลื่อนผ่าน รัฐบาลจึงประกาศให้หยุดราชการวันที่ 4-5 พฤศจิกายน เฉพาะกรุงเทพฯ นนทบุรี

แต่ก็ไม่วายมีคนบ่นในโลกโซเชี่ยล เปิดโรงเรียนได้ 2 วันหยุดอีกแล้ว ประเทศไทยก็เป็นอย่างนี้ ผักชีโรยหน้า ชอบทำหน้าใหญ่ใจโตโชว์คนอื่นคือไทยแท้ ประชาชนเป็นอย่างไร เอาไว้ก่อนช่างหัวมัน บ้างก็ว่าขี่ช้างจับตั๊กแตน ระดมตำรวจ ตชด.ตจว. 17,000 นาย จนแทบไม่เหลือติดพื้นที่ ใช้เบี้ยเลี้ยงไปเท่าไหร่ ฯลฯ

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีดราม่า หยอกล้อกันเฮฮาว่าไล่จับหมาจรจัด 300 ตัวเพื่อหน้าตาของประเทศ ขณะที่คนอีกฝ่ายก็ติงว่า เราคนไทยควรเป็นเจ้าภาพที่ดี ร่วมมือร่วมใจเพื่อผลประโยชน์ประเทศ นี่เป็นหลักสากล อยู่แล้ว ทุกประเทศเขาก็ทำ เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง ปกติก็รถติดอยู่แล้ว ต้องดูว่าเหตุผลสมควรไหม ฯลฯ อ้อ ถ้าไม่ระดมตำรวจมาเยอะๆ เดี๋ยวไอ้พวกเสื้อแดงมาบุกทำลายการประชุม ทำประเทศเสียหายแบบสิบปีที่แล้ว จะทำอย่างไร

พูดอีกก็ถูกอีก ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสวยงาม ศักดิ์ศรีหน้าตาชื่อเสียงประเทศ ซึ่งส่งผลถึงการท่องเที่ยวการค้าการลงทุน ผลประโยชน์ส่วนรวม แต่เคยคิดไหมว่า เมื่อสังคมเปลี่ยนไป คนไทยก็ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน หรือเหมือนที่รัฐบาลพยายามบอก

ผลประโยชน์การค้าการลงทุน แล้วไง คนที่เดือดร้อนไม่ได้ทำมาค้าขายก็เข้าใจอยู่นะว่า ถ้าชาวโลกประทับใจแห่มาลงทุนใน EEC ก็เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน แต่อานิสงส์มันตกถึงเรา เท่าไหร่ เท่าที่ขาดรายได้ไปหลายวันนี้ไหม ในเมื่อนับวัน ความเหลื่อมล้ำยิ่งสูงลิบ

พูดอีกอย่างคือในวิกฤตเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ผลประโยชน์การค้าการลงทุน EEC อภิมหาโปรเจ็กต์ทั้งหลาย มันเริ่มไม่ใช่ “ผลประโยชน์ชาติ” สำหรับคนส่วนใหญ่ ระดับกลางระดับล่างระดับลูกจ้าง แม้ได้บ้างก็น้อยนิด ต้องชั่งน้ำหนักกับสิ่งที่เสียไป คงมีแต่คนมีฐานะ คนชั้นกลางระดับบน ที่เชื่อว่าตนอยู่ใน “ผลประโยชน์ส่วนรวม”

ที่จริงสมัยก่อนคนไทยก็ไม่ได้มองผลประโยชน์ชาติกับ ผลประโยชน์ทุนเป็นอันเดียวกัน เพิ่งยุคก้าวกระโดดโชติช่วงชัชวาล ปลายทศวรรษ 2520 นี่เอง ที่เริ่มเห็นทุนมีคุณูปการ นำความเจริญมาสู่ชาติ (เมื่อก่อนเป็นราชการ) กระทั่งหลังวิกฤต 2540 ก็มีนักการเมืองกล้าๆ พูดว่าต้องอุ้มนายทุนก่อนจะได้มีเงินไปจ้างคนจน

แต่ในวิกฤตปัจจุบัน ยุคเหลื่อมล้ำ ยุคทุนประชารัฐ คนไทยจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าผลประโยชน์ของรัฐ ไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป เพราะผูกกับทุนใหญ่เสียมากกว่า

จริงๆ นี่เป็นแนวโน้มทั้งโลก แต่ประเทศไทยผนวกกับการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คนไทยจำนวนหนึ่งไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นรัฐบาลของตัวเอง ถ้าอยากรักษาหน้า แทนที่จะเอา ผักชีโรย ก็ควรจะอายชาวโลกเสียมากกว่า เพราะไม่มีผู้นำโลกคนไหนตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเอง

ความไม่เป็นประชาธิปไตย ทำให้คนไทยร่วมครึ่งรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องหน้าตาของตู่ ของผู้เฒ่าดอน ไม่ใช่หน้าตาของเรา อยากทำอะไรก็ทำไป พลาดเมื่อไหร่ก็เยาะเย้ย

ทั้งที่จริง การรักหน้า จะเรียกว่า “หน้าใหญ่ใจโตโชว์คนอื่น” หรือ “ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ” เป็นนิสัยคนไทยแต่โบราณ สมัยก่อนมีการประชุมระดับโลกก็ภาคภูมิใจกันทั้งชาติ ยุคทักษิณเป็นเจ้าภาพจัด APEC มี NGO จัดม็อบคู่ขนาน โดนคนไทยด่าลั่น แต่อารมณ์ร่วมเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตา แตกสลายมา 13 ปีหลังเกิดวิกฤตการเมือง เกิดรัฐประหาร 2549

พูดไปทำไมมี ม็อบบุกศูนย์ประชุมพัทยาทำลายชื่อเสียงประเทศชาติ? แล้วม็อบปิดสนามบินทำให้ทั้งไทยทั้งต่างชาติตกค้างเป็นหมื่นๆ คนเสียหายหลายแสนล้าน ไม่ทำลายชื่อเสียงประเทศชาติ? แล้วม็อบปิดถนนขัดขวางเลือกตั้ง วางหัวกรวยไม่ให้คนผ่าน จนเกิดรัฐประหาร นั่นเป็นศักดิ์ศรีหน้าตาของชาติ? ฝ่ายหนึ่งรับโทษไปแล้ว อีกฝ่ายยังลอยนวล บ้างก็เป็นรัฐมนตรี นี่คือความยุติธรรมของชาติ?

อันที่จริงนี่ก็คล้ายกับที่คนไทยระดับบนด่าม็อบฮ่องกง ทำลายประเทศทำลายเศรษฐกิจตัวเอง พากันคร่ำครวญผ่าน โลกออนไลน์ ร้านอาหารในตำนานที่คนไทยชอบบินไปกินต้องปิดตัวเองลงหลายร้าน

ประชาชนที่ตระหนักว่าถูกปกครองด้วยอำนาจไม่เป็นธรรม อำนาจที่ตนไม่สามารถมีส่วนร่วม ไม่มีส่วนเป็นเจ้าของ ย่อมรู้สึกว่าประเทศนั้นไม่ใช่ของตัวเอง เป็นเพียงที่อาศัย โดยเฉพาะคนฮ่องกงที่รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนจีน

คนไทยอาจยังไม่รู้สึกแปลกแยกถึงขั้นนั้น แต่อย่างน้อยนี่ไม่ใช่รัฐบาลของเรา ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็เริ่มไม่ใช่ของเรา เป็นของเจ้าสัว เป็นของรัฐราชการ ใครต่อใครบ้างไม่รู้ แต่เราอยู่ห่างเหลือเกิน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน