16ปีไฟใต้โหมไม่หยุด ติดกับดักถลำสู่ความรุนแรง
16ปีไฟใต้โหมไม่หยุด ติดกับดักถลำสู่ความรุนแรง : 4ม.ค.2563 จะเป็นวาระครบ 16 ปีเหตุการณ์ไฟใต้ที่เริ่มต้น หลังผ่านพ้นปี 2562 ที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญและกรณีสะเทือนใจทั้งจากผู้ก่อการและเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ชาวจังหวัดชายแดนใต้ต้องอยู่กันด้วยความหวาดระแวง เพราะเหตุรุนแรงไม่มีท่าทีว่าจะลดลง
ไม่เพียง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอ ของสงขลา เหตุการณ์ความไม่สงบยังขยายพื้นที่ไปยังพื้นที่ซึ่งไม่เคยมีเหตุรุนแรงอย่าง สตูล และพัทลุง รวมถึงศูนย์กลางการปกครองอย่าง กรุงเทพมหานคร
สรุปเหตุการณ์สำคัญปี 2562 มีดังนี้
สลดบุกวัดฆ่าพระ
ค่ำวันที่ 18 ม.ค. คนร้าย 5-6 คน พร้อมอาวุธครบมือขี่จักรยานยนต์บุกเข้าไปในวัดโคกโก หรือวัดรัตนานุภาพ บ้านโคกโก หมู่ที่ 2 ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส
ขณะที่พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ เจ้าอาวาส และเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี และพระลูกวัดนั่งฉันน้ำชาอยู่หน้ากุฏิ เพื่อรอเวลาเข้าไปปฏิบัติกิจสงฆ์ภายในพระอุโบสถ
กลุ่มชายฉกรรจ์ตรงเข้าสาดกระสุนเข้าใส่ทันที เป็นเหตุให้พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ และพระสมุห์อรรถพร ขุนอำไพ มรณภาพในที่เกิดเหตุ บาดเจ็บอีก 2 รูป
หลายฝ่ายเชื่อว่าสืบเนื่องจากการวิสามัญนายฮาซัน มะลี แกนนำกลุ่มก่อเหตุมีหมายจับติดตัวหลายคดีในช่วงเช้าวันเดียวกัน
ประกอบกับคดีนายสะมาแอ เจะมะ โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดบ้านท่าราบ ม.1 ต.กะมิยอ อ.เมือง จ.ปัตตานี ถูกยิงเสียชีวิตขณะกำลังเดินออกจากมัสยิด เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2561
หลังเกิดเหตุ สำนักจุฬาราชมนตรี ออกแถลงประณามระบุว่า
การใช้ความรุนแรงอย่างไร้ขอบเขต โดยไม่คำนึงถึงประชาชน ผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น เด็ก สตรี ผู้สูงวัย และผู้นำศาสนา เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม และละเมิดกับหลักธรรมคำสอนของทุกศาสนาอย่างร้ายแรง สำหรับศาสนาอิสลามนั้นถือเป็นบาปใหญ่ที่พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษผู้กระทำการเยี่ยงนี้ก่อนสิ่งอื่นใดในวันพิพากษา
ขณะที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานกำลังใจแก่พระภิกษุสามเณรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในการบำเพ็ญศาสนกิจเพื่อความมั่นคงแห่งพระบวรพุทธศาสนา ด้วยปณิธานอันแกล้วกล้าและอดทน เพื่อเป็นหลักชัยของพุทธศาสนิกชนและเพื่อความไพบูลย์แห่งพระสัทธรรม แม้ในพื้นที่และในช่วงเวลาอันยากลำบาก
เป็นการแสดงออกของผู้นำสองศาสนาเพื่อย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพ
ป่วนสตูล–พัทลุง ‘110 ปี ปาตานี’
เหตุรุนแรงที่ลามออกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของสงขลา เริ่มเกิดขึ้นถี่ขึ้น
ปี 2562 เกิดเหตุลอบวางระเบิด 14 จุด ในจ.สตูลและจ.พัทลุงต่อเนื่องกันตั้งแต่ช่วงดึกวันที่ 9 มี.ค. ถึงช่วงเช้าวันที่ 10 มี.ค.
ฝ่ายบริหารระบุทันทีว่า เป็นการกระทำของเครือข่ายกลุ่มที่สูญเสียประโยชน์ และต้องการทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลก่อนการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 24 มี.ค.
แต่เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขณะนั้น พร้อมพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. บินด่วนล่องใต้ไปประชุมหารือรับสถานการณ์
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลทั้งหมด ประกอบกับในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการพ่นสีข้อความ PATTANI 110 ในหลายพื้นที่ตลอดสัปดาห์ก่อนหน้า
ก็พอจะได้เค้าว่าที่จริงแล้วน่าจะเป็นการลงมือเพื่อเป็นสัญลักษณ์การรำลึกครบรอบ 110 ปี สนธิสัญญายกพื้นที่แหลมมลายูให้อังกฤษปกครอง เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 1909 และน่าจะเกี่ยวพันกับวันที่ 13 มี.ค. 1909 เพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ในการหายสาบสูญของนายหะยีสุหลง โต๊ะมีนา ด้วย
บ่งบอกสถานการณ์ไฟใต้ขยายออกนอกพื้นที่
ลามถึงเมืองกรุง
วันที่ 1 ส.ค. ถึงคราวชาวกรุงต้องตกอยู่ในความอกสั่นขวัญแขวนกับเขาด้วย เมื่อพบระเบิดแสวงเครื่องถูกนำไปวางทิ้งไว้หน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โชคดีที่มีผู้มาพบเห็นจึงเก็บกู้ไว้ได้ก่อน
เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเรื่องระทึกก็เกิดขึ้นจริง เมื่อเหตุระเบิดและก่อวินาศกรรมทั้งหมดใน กทม. ระหว่างวันที่ 1-2 ส.ค. มีทั้งที่ตรวจพบเก็บกู้ได้ และเกิดเหตุแล้วรวมทั้งหมด 10 จุด
พบเบาะแสคนร้ายมีไม่ต่ำกว่า 15 คน ยกขบวนขึ้นมาช่วงเย็นวันที่ 1 ส.ค. วางระเบิดทั่วกรุงแล้วแยกย้ายเดินทางกลับทั้งรถไฟและรถทัวร์ในคืนวันเดียวกัน
คาดหวังว่าเมื่อเกิดเหตุระเบิดแล้ว ทั้งหมดจะกลับถึงภูมิลำเนาและอาจเดินทางหลบหนีเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน
แต่การวางระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้เวลามากเกินไปจนเป็นพิรุธ
ภาพจากกล้องวงจรปิดทำให้เจ้าหน้าที่ตามจับตัวนายลูไอ แซแง อายุ 23 ปี และนายวิลดัน มาหะ อายุ 23 ปี ชาวรือเสาะ จ.นราธิวาส ขณะนั่งรถทัวร์กลับภาคใต้ที่แยกปฐมพร อ.เมือง จ.ชุมพร
ผลสอบปากคำก็ออกมาชัดเจนว่า เดินทางขึ้นมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อขึ้นมาก่อเหตุโดยมีเป้าหมายตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐเรื่องไฟใต้!!?
นอกจากนั้นยังเชิญตัวผู้ต้องสงสัยว่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วยไปให้ปากคำ ก่อนจับคนร้ายเพิ่มได้อีก 1 ราย คือ นายมูฮัมมัด อิลฮัม อายุ 27 ปี
อัยการส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 3 ต่อศาลอาญา 11 ข้อหาหนัก รวมถึงก่อการร้ายและอั้งยี่ซ่องโจร เมื่อวันที่ 8 พ.ย. แต่ทั้งหมดยังให้การปฏิเสธศาลจึงนัดตรวจหลักฐานในวันที่ 16 ธ.ค. ก่อนพิจารณาไต่สวนคดีต่อไป
และยังต้องตามจับกลุ่มผู้ก่อเหตุที่เหลือซึ่งถูกออกหมายจับแล้วอีก 18 ราย มาดำเนินคดี
กราดยิงหมู่ชรบ.15 ศพ ลำพะยา
เสียงระเบิดและควันไฟจางหายไปจากเมืองหลวง แต่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ยังระอุอย่างต่อเนื่อง ทั้งวางเพลิงสาธารณูปโภค ลอบระเบิด–ยิงสังหารเจ้าหน้าที่บ้านเมือง รวมถึงชาวบ้านผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
กลางดึกวันที่ 5 พ.ย. คนร้ายหลายกลุ่มกระจายกำลังก่อเหตุรุนแรงหลายจุดใน ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา รวม 4 จุด
แต่ไม่มีที่ไหนจะรุนแรงและโหดร้ายเท่าป้อมรักษาการณ์จุดตรวจชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้านทุ่งสะเดา ม.5 ต.ลำพะยา เมื่อชรบ.และชาวบ้านที่อยู่บริเวณดังกล่าว ถูกคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คน ล้อมกรอบสังหารหมู่มีเสียชีวิตนอนตายเกลื่อนถึง 15 ราย บาดเจ็บอีก 5 คน
คาดเป็นปฏิบัติการตอบโต้หลังเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมคนร้าย 2 ศพ ในพื้นที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี
ความรุนแรงของเหตุการณ์ ทำให้นาย อาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ต้องล่องใต้เแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย พร้อมประฌามการกระทำอันโหดเหี้ยมต่อประชาชน
ท่านจุฬาราชมนตรียืนยันว่า คำสอนของศาสนาอิสลามถือว่า การฆ่าผู้บริสุทธิ์เป็นบาปใหญ่ ดังปรากฏในพระมหาคัมภีร์อัล– กุรอาน ความว่า “แท้จริง ผู้ใดฆ่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ชีวิตหนึ่ง ก็ประหนึ่งว่าเขาได้ฆ่ามนุษย์ทั้งมวล และหากผู้ใดช่วยรักษาชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง ก็ประหนึ่งว่าเขาได้รักษาชีวิตมนุษย์ทั้งมวล”
พลาดสังหารชาวบ้าน 3 ศพ
ส่งท้ายปี 16 ธ.ค. เกิดเหตุ ฉก.ทพ.45 ชุดกดดันไล่ล่ากลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่เคลื่อนไหวกบดานบนเทือกเขาตะเว หลังหมู่บ้าน อาแน ม.8 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ยิงสังหารชาวบ้าน 3 ศพ ที่รับจ้างตัดไม้และหาของป่า
ต่อมาพล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งผลการตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าเจ้าหน้าที่ “สำคัญผิด” ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นเพียงชาวบ้าน ไม่มีอาวุธ และไม่มีประวัติเป็นแนวร่วมก่อความไม่สงบ
ชาวบ้านจึงร่วมกันเรียกร้องให้ทางการสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างโปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดเหตุสลดซ้ำอีก
ความตายของนายอับดุลเลาะ
นายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ อายุ 34 ปี พ่อของเด็กชาย 2 คน อายุ 7 ขวบ และ 2 ขวบ ผู้มีอาชีพกรีดยางและหล่อเสาปูน ที่ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ถูกควบคุมตัวจากบ้านพักต่อหน้าภรรยา ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร วันที่ 20 ก.ค.2562 เพราะตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคง จังหวัดชายแดนภาคใต้
หนึ่งวันถัดมา นายอับดุลเลาะนอนหมดสติอยู่ภายในห้องควบคุม ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในค่ายและส่งต่อไปยังร.พ.ปัตตานี
แพทย์แจ้งว่านายอับดุลเลาะมีอาการสมองบวมอย่างรุนแรง คาดว่าเกิดจากการขาดอากาศหายใจเป็นเวลานาน
จากนั้นอีกหนึ่งเดือน วันที่ 25 ส.ค. นายอับดุลเลาะเสียชีวิต
ความตายของนายอับดุลเลาะที่ไร้ผลสอบสวนสาเหตุมาอธิบายแก่ครอบครัวผู้สูญเสีย ทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐปรับปรุงกระบวนการควบคุมตัวและซักถามผู้ต้องสงสัยของฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งตรวจสอบกรณีนี้อย่างโปร่งใส
เพื่อให้หยุดเติมเชื้อไฟแห่งความขัดแย้ง และความหวาดระแวง ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้าน
ผู้พิพากษาศาลจังหวัดยะลายิงตัว
นอกจากกรณีนายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ เสียชีวิตหลังจากถูกคุมตัวไปสอบในค่ายทหาร จะเป็นคำอธิบายว่าเหตุใดการแก้ไขสถานการณ์ไฟใต้จึงลดความรุนแรงลงไม่ได้
เหตุการณ์ นายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ ชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลา ก่อเหตุยิงตัวเองในห้องพิจารณาคดี ที่ศาลจังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2562 ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สะท้อนปัญหานี้
วันดังกล่าว นายคณากรแถลงในฐานะผู้พิพากษายกฟ้องชายมุสลิม 5 คนในความผิดต่อชีวิต อั้งยี่ ซ่องโจร
ข้อความในแถลงการณ์ 25 หน้า ที่นายคณากรเขียนขึ้นเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่มีภาวะแวดล้อมกดดันอย่างหนัก ทั้งที่ควรมีอิสระในการพิจารณาคดี กลับต้องเสี่ยงต่อการถูกขู่ให้กลัว และต้องต่อสู้กับอำนาจทั้งภายนอกและภายใน
รวมถึงถ้อยคำสำคัญว่า “ต้องคืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้กับประชาชน”
หลังเหตุการณ์ ดร.วิสุทธ์ บินหลาเต๊ะ ตัวแทนจากศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรีประจำภาคใต้ เข้าเยี่ยมนาย คณากร และ กล่าวว่า หวังให้ผู้ที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการเรื่องนี้
เพราะความยุติธรรมจะเป็นบันไดที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะทำให้เหตุการณ์รุนแรงสงบลง