เหตุการณ์ล้อมปรามนักศึกษาปัญญาชนอย่างโหดเหี้ยม กลางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.2519 เวียนมาครบ 40 ปี
โดยเฉพาะในปี 2559 นี้ ค่อนข้างใหญ่และพิเศษกว่าทุกปี จัดถึง 3 วัน 6-8 ต.ค. นอกจากพิธีทำบุญตักบาตร และรำลึกถึงผู้เสียชีวิต ที่ลานประติมากรรม 6 ตุลา 2519 ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แล้วยังมีกิจกรรมและเสวนาต่างๆ อีกมากมาย
แต่เป็นที่น่าเสียดาย งานรำลึก 6 ตุลา ปีนี้ไม่มี นายจินดา ทองสินธุ์ บิดานายจารุพงษ์ ทองสินธุ์ หนึ่งในนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่เสียชีวิต แล้วถูกกลุ่มกระทิงแดง นวพล ลากศพไปกลางสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ เป็นภาพข่าวสลดเผยแพร่ไปทั่วโลก
ตลอด 20 ปีหลัง นายจินดาต้องเดินทางมาร่วมพิธีและกล่าวรำลึกถึงผู้เสียชีวิต แทบเรียกได้ว่าเป็นตำนาน หรือสัญลักษณ์ในพิธีรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
นายจินดา หรือลุงจินดา ในวัย 93 ปี เสียชีวิตไปแล้วเมื่อวันที่ 28 ม.ค.2559 ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก ที่ร.พ.สุราษฎร์ธานี
ภายหลังการฆ่าหมู่ในธรรมศาสตร์ และนายจารุพงษ์ ลูกชายเสียชีวิต จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่มีผู้พบศพนายจารุพงษ์ ตลอดเวลาที่ผ่านมานายจินดา พร้อมด้วย นางลิ้ม ทองสินธุ์ ภรรยา พากันออกตามหาลูกชายภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา
โดยทั้งคู่ย้ำมาตลอดว่าถ้ายังไม่พบศพ ก็ยังไม่เชื่อว่าลูกชายเสียชีวิต กระทั่งวันเวลาผ่านไปกว่า 20 ปี นายจินดาและภรรยาจึงเชื่อว่าลูกชายเสียชีวิตแล้ว ทั้งคู่จึงเดินทางจาก จ.สุราษฎร์ธานี มาร่วมงานและกล่าวรำลึก 6 ตุลา ที่ธรรมศาสตร์ ทุกปี
ก่อนหน้าที่นายจินดาและนางลิ้มเชื่อว่าลูกชายเสียชีวิต และเดินทางมาร่วมพิธีรำลึกที่ธรรมศาสตร์นั้น ในช่วงปีพ.ศ.2537-2538 ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ข่าวสด มีโอกาสเดินทางไปพบกับทั้งคู่ที่บ้านพักใน ต.อิปัน อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อพูดคุยสัมภาษณ์ถึงการออกตามหาลูกชาย
พร้อมทั้งมีโอกาสบันทึกภาพนายจินดา นางลิ้ม และลูกๆ ซึ่งเป็นน้องของนายจารุพงษ์ ไปทำบุญในวันที่ 6 ต.ค. จนกระทั่งก่อนงานรำลึก 20 ปี 6 ตุลา ทั้งคู่เริ่มเชื่อแล้วว่าลูกชายเสียชีวิตในเหตุการณ์ฆ่าหมู่กลางธรรมศาสตร์
วันที่ 6 ต.ค.2539 จึงเป็นปีแรก และครั้งแรกที่นายจินดา ขณะนั้นอายุ 75 ปี กับนางลิ้มในวัย 64 ปี เดินทางมาร่วมงาน ทั้งคู่อยู่ในอาการโศกเศร้า
ภาพข่าวในหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับ 7 ต.ค.2539
ในวันนั้น นางลิ้ม หรือป้าลิ้ม ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำตานองหน้าว่า เมื่อก่อนไม่เชื่อว่าลูกตายไปแล้ว เพราะไม่เห็นศพ คิดว่าน่าจะรอดชีวิตแล้วหลบหนีเข้าป่าเหมือนเพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆ เพิ่งมารู้ว่าได้เสียชีวิตไปอย่างแน่นอนเมื่อวันที่ 5 ต.ค. (หมายถึง 5 ต.ค.2539)
เนื่องจากมีรุ่นน้องของลูกชายมาบอกว่าถูกยิงที่บริเวณสนามฟุตบอล ซึ่งรุ่นน้องคนนั้นยืนยันว่าได้เห็นเหตุการณ์ตลอด โดยในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ก็มีชาวบ้านมาบอกว่าเห็นลูกชายอยู่ที่นั่น อยู่ที่นี่บ้าง ในขณะนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ป้าลิ้มเล่าต่อว่า หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ผ่านพ้นไป เคยมีจดหมายส่งมาจากเพื่อนลูกชายบอกว่า ไม่รู้ว่าลูกของแม่เป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะยังหาตัวไม่เจอ แต่พอหลังจากเหตุการณ์ 6 เดือน มีคนส่งบัตรประชาชนของลูกชายที่มีคราบเลือดติดอยู่มาให้ โดยคนที่ส่งมาให้บอกว่านำมาจากโรงพักชนะสงคราม และที่โรงพักยังมีบัตรประชาชนอยู่อีกประมาณ 2 ลังใหญ่
จนกระทั่งมีการจัดงานครั้งนี้ (หมายถึงรำลึก 6 ตุลา เมื่อปี 2539) มีเพื่อนของลูกโทรศัพท์มาหาบอกว่าจะใช้ชื่อของลูกชายเป็นชื่อห้องประชุมเพื่อเป็นอนุสรณ์ และขอให้มาร่วมงานนี้ จึงเดินทางมาจากบ้านที่ จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมทั้งนำรูปถ่ายมาด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมาจะทอดกฐินทุกปี ทำบุญให้เขาเสมอมา บรรดาข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ครบ แต่เก็บเอาไว้ ไม่ได้นำมาตั้งให้เห็น เพราะเห็นแล้วไม่สบายใจ
แม่ผู้สูญเสียเล่าอีกว่า ช่วงสุดท้ายที่เห็นลูกชายคือวันที่ 25 ก.ย.2519 ขณะนั้นเดินทางมากรุงเทพฯ มาหาลูกที่หอพัก พอถึงวันที่ 28 ก.ย. ก็เตรียมเดินทางกลับบ้านที่ จ.สุราษฎร์ธานี ขณะนั้นเหตุการณ์ที่ธรรมศาสตร์เริ่มรุนแรงแล้ว จึงบอกกับลูกว่าให้กลับบ้านพร้อมกับแม่เลย แต่ลูกไม่ยอม บอกว่าจะสอบในวันที่ 6 ต.ค. เมื่อสอบเสร็จแล้วจะกลับบ้าน เขายังบอกอีกว่าจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง และในวันนั้นเขาไปส่งที่สถานีรถไฟหัวลำโพง นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกัน
“ทุกวันนี้แม่อยู่ไม่เป็นสุข บอกไม่ถูก ลูกอยู่ดีๆ ก็มาเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าอย่างไร มาตามหาที่ธรรมศาสตร์ก็ไม่มี เขาเอาไปทิ้งที่ไหน ถ้าเสียชีวิตแล้วทำไมเขาไม่เก็บศพมาให้เรา คนอื่นเขายังได้คืน แต่เราไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ มันเจ็บปวดอยู่ที่ใจ ร้าวในหัวใจตลอดเวลา ไม่มีความสุข คนที่ทำบาปนะ ไม่คิดถึงว่าเป็นลูกใคร ทำให้ครอบครัวเขาเดือดร้อนเสียหายยังไง ทำไมเขาไม่คิดและไม่ทำตามกฎหมาย คนเป็นแม่ก็ต้องปวดร้าว ไม่คิดเลยคนที่ทำเป็นเดรัจฉานไปแล้ว” นางลิ้มกล่าว