คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
นับตั้งแต่รัฐบาลแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่มาจากหน่วยงานอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสายงานด้านศาสนาโดยตรง แต่มาจากหน่วยงานด้านการสอบสวน
โดยเข้ามาในช่วงที่มีการดำเนินคดีกับพระผู้ใหญ่ และตรวจสอบคณะสงฆ์และวัดพระธรรมกายโดยอำนาจพิเศษ ก็ยิ่งสร้างความ แปลกใจแก่คณะสงฆ์ตั้งแต่แรก
ต่อมา ยังมีกรณีการสอบสวนเงินทอนจากโครงการอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด การตรวจสอบเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา รวมทั้งการตรวจสอบรายรับรายจ่ายของวัด
ก็ยิ่งทำให้คณะสงฆ์รู้สึกกังวลใจ
ล่าสุด กรณีการยื่นคัดค้านการแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดแห่งหนึ่ง ฝ่ายมหานิกาย ในเขตการปกครองคณะสงฆ์หนตะวันออก มีการทำหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ให้ทรงวินิจฉัย และถูกวิจารณ์ว่าไม่ถูกตามขั้นตอน
มีการอ้างว่าผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อต้องอธิกรณ์ และมีเรื่องร้องเรียนอื่นๆ เข้ามาที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่เรื่องดังกล่าว ได้ผ่านความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคมแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้รับรองเป็นมติที่ประชุม และยังไม่มีพระบัญชาแต่งตั้งเท่านั้น
สุดท้าย จึงทรงมีพระบัญชาให้เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก พิจารณาอีกครั้ง แต่ได้กราบทูลว่าเป็นไปตามระเบียบ และผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อก็มีคุณสมบัติถูกต้องทุกประการ ส่วนอธิกรณ์นั้นระงับไปเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดที่ประชุมจึงมีมติรับรอง
โฆษกมหาเถรสมาคม เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้ มหาเถรสมาคมได้ปรารภว่า อยากพูดคุย กับผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เนื่องจาก 2 ครั้งที่ผ่านมา ติดราชการด่วน ไม่สามารถมาร่วมประชุมได้
ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างความเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะถือเป็นบุคคลที่รัฐบาลส่งเข้ามาสนองงานคณะสงฆ์ เพื่อจะได้ให้ข่าวในทิศทางที่ตรงกัน
ต้องถือว่าบรรยากาศเช่นนี้ ย่อมแสดงว่า มหาเถรสมาคมกับเลขาธิการมหาเถรสมาคม มีแนวคิดที่ไม่ประสานสอดคล้องกัน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาต่อกันได้ในอนาคต การพูดคุย เพื่อสร้างความเข้าใจกันอย่างเร่งด่วน
จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง