ผ่านจากกลางดึกของคืนวันที่ 23 สิงหาคม มาถึงวันที่ 10 ตุลาคม เหมือนกับกรณีการหายตัวไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จะไม่มี “ความลับ” เหลืออยู่
เพราะคสช.ก็รู้จากรายงานของกระทรวงการต่างประเทศว่าเดินทางจากนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไปยังกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน
แต่อยู่ “ที่ไหน”ของกรุงลอนดอน ตอบไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางออกจากประเทศไทยไปยังนครดูไบ ได้อย่างไร
ก็ไม่มี “คำตอบ” อย่างเป็น “ทางการ”
ยิ่งเห็นรายงานผลการตรวจ”ดีเอ็นเอ”เปรียบเทียบของสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) ยิ่งน่าเห็นใจ
ประเด็นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับมอบหมายจากคสช.และจากรัฐบาลก็คือ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หายตัวไปอย่างไร
ที่มี “สนช.”บางคนระบุว่าออกจากกัมพูชาก็เสมอเป็นเพียงข่าวลือ
เป็นข่าวลือเหมือนที่อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติบางคนออกมาเขียนเป็ตุเป็นตะว่านั่งเครื่องบินออกจากพระตะบอง
เป็นข่าวลือเหมือนที่มีข่าวใน”เบื้องต้น”ว่านั่งคัมรีจากกทม.ไปยังอรัญประเทศ สระแก้ว
แล้วเดิน “ข้ามคลอง” ไปตามช่องทาง”ธรรมชาติ”
พลันที่การตรวจสอบเปรียบเทียบดีเอ็นเอในรถกับของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ตรงกัน หรือไม่สามารถระบุได้
เรื่องก็ต้องมาเริ่มนับ 1 กันใหม่
ทั้งหมดนี้มิได้สะท้อนว่าการตรวจสอบกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หายตัวไปต้องมาชน “ตอ” เบ้อเริ่มเทิ่ม
หากแต่เป็นเรื่องของ “พยาน” เป็นเรื่องของ”หลักฐาน”
มืออาชีพภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สามารถเสกปั้นขึ้นได้อย่างเด็ดขาด
จำเป็นต้องเดินไปตามข้อกฎหมายและตามข้อเท็จจริง
ยิ่งผ่านไปนานวัน ยิ่งแสดงออกอย่างแจ้งชัดว่าการหายตัวไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้เป็นเรื่องบังเอิญ
หากแต่เป็นเรื่องของ”กลยุทธ์” มีการ”วางแผน”แยบยลยิ่ง