พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศ”ปฏิญญา ทำเนียบรัฐบาล” เลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561
2 ใน 4 ของ”แม่น้ำ”ที่ท่องไปกับ”เรือแป๊ะ”ก็ถูกจับจ้อง
1 คือ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ.ซึ่งรับหน้าที่ในการจัดทำ “ร่างกฎหมายลูก”
มีกรอบเวลาภายใน 240 วัน
ขณะเดียวกัน 1 คือ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสนช. ซึ่งมีกรอบเวลา 60 วัน
จะ”ยื้อ” หรือ”ไม่ยื้อ” ก็ 2 “ก.”นี่แหละ
แสงแห่งสปอตไลท์ย่อมฉายจับไปที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ และนายพรเพชร วิชิตชลชัย อย่างพร้อมเพรียงกัน
ทุกจังหวะ ทุกก้าวย่าง
แม้ทั้ง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ และ นายพรเพชร วิชิตชลชัย จะออกมายืนยันว่าได้เลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561 แน่
แต่ผู้คนก็ยังไม่วางใจ
พลันที่เห็น “อาการ” จากร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
ก็บังเกิดสภาวะวูบวาบขึ้น
สะท้อนความขัดแย้งระหว่าง 1 สนช. กับ 1 กรธ.ออกมาอย่างเด่นชัด
ก้าวต่อไปย่อมเป็น”คณะกรรมาธิการร่วม”
ยิ่ง นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ออกมาแสดงความหวั่นหวาดต่อร่างพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ยิ่งก่อให้เกิดความหวาดหวั่น หวั่นไหว
คาดหมายไว้เสร็จว่าอาจต้องเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562
แม้นักการเมืองจะเตรียมใจไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 แล้วว่าอาจได้เลือกตั้งปี 2562 ไม่ใช่ปี 2561
แต่ก็ยังยึดกุม”ปฏิญญา ทำเนียบรัฐบาล”มั่น
ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนจ้องไปยัง 1 กรธ. 1 สนช. แทบไม่กระพริบตา
ไม่ว่าจะขยับอย่างไร ต้องตามไปดู
โดยเฉพาะสนช.อย่าง นายสมชาย แสวงการ สนช.อย่าง นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ไม่ควรให้คลาดจากสายตา
ไม่ว่าจะ”โหน” ไป”ห้อย”อยู่ที่ใด