ความเศร้าโศกเสียใจของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเวลาที่มีงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นเรื่องที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้น เนื่องด้วยความรักความอาลัยที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9
หน่วยงานที่ดูแลสภาพจิตใจอย่างกระทรวงสาธารณสุขจึงต้องรับหน้าที่มากเป็นพิเศษ
หลังจากเตรียมความพร้อมไว้แล้ว โดยมอบหมายให้สาธารณสุขจังหวัดจัดบริการทางการแพทย์ รวมถึงการจัดหาจิตแพทย์และทีมเฝ้าดูแลสุขภาพจิตของพี่น้องประชาชน อีกทั้งยังมีสายด่วนที่รับปรึกษาได้ตลอดเวลา
คำแนะนำจากกรมสุขภาพจิตสำหรับประชาชนทั่วไปที่กำลังเสียใจก็คือพยายามเปลี่ยนความเศร้าให้เป็นพลังในการทำความดีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ภาพที่ปรากฏในงานพระราชพิธีสำคัญนี้ จึงเห็นคนจำนวนมากทุ่มเทเป็นจิตอาสาเพื่อจะแบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่นให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม
จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะสานต่อให้คนมีเมตตาต่อกัน ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการสมานฉันท์มีพลังขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อผ่านความทุกข์และเศร้าโศกเสียใจร่วมกัน หากนำความรู้สึกร่วมเหล่านี้มาใช้ในทางบวกจะทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน ลดความขัดแย้ง เจ็บแค้นหรือเกลียดชังต่อกัน
แม้ว่าคนในสังคมจะเห็นไม่ตรงกัน หรือขัดแย้งผลประโยชน์กันในบางเรื่องบางประเด็นและบางจังหวะเวลา
แต่หากมีเมตตา ลดอคติลง ไม่ใส่ร้ายหรืออาฆาตแล้ว การประนีประนอมและหาจุดสมดุลที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติย่อมเป็นไปได้สูง
การน้อมรำลึกถึงพระบรมราโชวาทในหลวง รัชกาลที่ 9 ว่า “ความสามัคคีเป็นกำลังอย่างสูงสุดของหมู่ชน” นั้น หากปฏิบัติให้เป็นผลได้ จะเป็นสิ่งที่แปรความเศร้าให้เป็นพลังล้ำค่าสำหรับประเทศ
หลังจากสังคมไทยผ่านช่วงเวลาของความแตกแยก หวาดระแวง และไม่ไว้วางใจกัน
ตัวอย่างของการมีส่วนร่วมและรวมใจกันในพระราชพิธีครั้งนี้จึงไม่เพียงแสดงถึงการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ
ยังจะมีส่วนช่วยเยียวยาจิตใจของตนเองและสังคมด้วย