ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง การทุจริตเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดพนัญเชิง จ.พระนคร ศรีอยุธยา จำนวน 20 ล้านบาท

โดยมีนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ และนายพนม ศรศิลป์ อดีตผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับ น.ส.ประนอม คงพิกุล รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้ถูกกล่าวหานั้น

คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีดังกล่าว ได้สรุปสำนวนเสนอเข้าที่ประชุมคณะ กรรมการป.ป.ช.พิจารณาและมีมติชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้องทั้ง 3 คนแล้ว

เป็นคดีแรกที่สรุปชี้มูลได้

สําหรับพฤติกรรมการทุจริตที่เรียกว่าเงินทอนวัดที่ได้รับการจัดสรรมี 2 อย่าง ได้แก่ ทอนเป็นเงินสดผ่านเจ้าหน้าที่ และทอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้เกี่ยวข้อง

จากการไต่สวนพบว่าเวลาทอนเงินที่ได้รับการจัดสรรนั้น มีบางวัดสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ และมีหลายกรณีที่มอบเงินให้วัดแค่ 2 แสน แต่เก็บไว้เอง 5 ล้านบาท 10 ล้านบาทก็มี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายมาก

ส่วนคดีทุจริตเงินทอนวัดอื่นๆ ที่อยู่ในป.ป.ช. ล้วนมีรูปแบบการทุจริตเหมือนกันทั้งหมด มีตัวละครเดียวกันกับกรณีทุจริตเงินอุดหนุนวัดพนัญเชิง ซึ่งจะมีผลการชี้มูลทยอยออกมาเรื่อยๆ

ส่วนจะโยงใยสาวถึงใครบ้างนั้น อีกไม่ช้าก็คงจะมีผลสรุป

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถูกชี้มูลความผิดกรณีนี้ ล้วนแต่เป็นข้าราชการระดับสูงในหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งน่าเชื่อว่าจะมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายระดับ และสมควรสอบสวนให้ครบถ้วน เพื่อนำตัวมาลงโทษตามความผิด

ขณะเดียวกัน ในส่วนของวัดที่รับเงินอุดหนุนประเภทนี้ ก็ต้องสอบสวนเช่นกันว่ามีส่วนร่วมหรือรู้เห็นการทุจริตด้วยหรือไม่ แต่ก็ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ และให้ความเป็นธรรมอย่างแท้จริง

ในส่วนของการป้องกันและแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาการทุจริตเช่นนี้เกิดขึ้นอีกนั้น น่าจะต้องมีคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติ และติดตามการเบิกจ่ายให้รัดกุม โปร่งใส ตรวจสอบได้

ไม่ใช่ให้อำนาจอนุมัติแก่บุคคลเพียงคนเดียว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน