คล้อยหลังการออกมาแสดงความเสียใจและออกปากขอโทษต่อกรณีการเสียชีวิตของ “น้องเมย”
ไม่ว่าจะจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่าจะจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
สังคมต่างตระหนักในท่าทีและการแสดงออกเยี่ยงชายชาติ ทหารของผู้นำแห่งคสช. ผู้นำแห่งรัฐบาล
เท่ากับเมื่อเห็นว่าผิดก็ยอมรับผิด
นั่นก็คือ ผิดในการใช้คำพูดและแสดงความเห็นเร็วเกินไปจนก่อให้เกิดปฏิกิริยาในทางสังคม
จากนั้นก็นำการเสียชีวิตของ “น้องเมย”เข้าสู่กระบวนการสอบ
เท่ากับเป็นการถอนฟืนออกจากกองไฟ เท่ากับเป็นการแปรศัสตราให้กลายเป็นแพรพรรณ
Advertisement
กระนั้น ก็มี “ปฎิกริยา” บางปฏิกิริยาอันสะท้อนให้เห็นถึงภาวะไม่สุกงอมอย่างเต็มที่ต่อ
แนวทางในแบบ “ถอนฟืนออกจากกองไฟ”
แม้จะมีส่วนช่วยอย่างสำคัญในการแปร “ศัสตรา”ให้กลายเป็น “แพรพรรณ”
ช่วยยุติความขัดแย้งมิให้ “บานปลาย”
เป็นปฏิกิริยาอันปรากฏมาจาก “นักเรียน” โรงเรียนเตรียมทหาร
เหมือนกับเป็น “เรื่องส่วนตัว”เห็นได้จากการโพสต์
“ทุกวันนี้เดินกันเต็มโรงเรียนไม่เห็นจะมีใครเป็นอะไร พื้นที่ ของพวกผมไม่ต้องการคนอ่อนแอ”
พร้อมกับภาพนักเรียนเตรียมทหารทำหัวปักพื้น
ไม่ว่าข้อความ ไม่ว่าภาพที่โพสต์โดยอ้างว่าเป็นนักเรียนเตรียม ทหาร “คนหนึ่ง”
แต่ถามว่า การเอาหัวปักพื้นเป็น “ส่วนตัว”หรือ
แต่ถามว่า การเคลื่อนไหวโดยผ่านนักเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนเตรียมทหารกระทำอย่างเป็นเอกเทศได้หรือภายในระบบและโครงสร้างของกองทัพ
“ปฏิกิริยา” นี้จึงย้อนแย้งกับท่าทีที่ผ่อนปรน ประนีประนอมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เด่นชัด
เหมือนต้องการ “ธำรง” ปัญหาและความขัดแย้งให้คงอยู่
หากไม่ระมัดระวัง “ส่วนตัว”ก็จะบานปลายเป็น “สถาบัน”