ปรากฏการณ์‘ตูน’วิ่งเพื่อร.พ.

กลายเป็นปรากฏการณ์สุดๆ แห่งปี ‘ตูน บอดี้สแลม’ ร็อกเกอร์ดัง จัดโครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” หลังจากปี 2559 วิ่งช่วยเหลือ ร.พ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้เงินบริจาคจำนวนมาก

โครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ตูนเริ่มวิ่งจากใต้สุด อ.เบตง จ.ยะลา วันที่ 1 พ.ย. ไปสู่จุดหมาย เหนือสุด อ.แม่สาย จ.เชียงราย ระยะทางนบาท ตลอดเส้นทางการวิ่งของตูนเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ความรู้สึก หลาย 2,191 ก.ม.

ตั้งเป้าใช้เวลาวิ่ง 55 วัน รณรงค์คนไทย 70 ล้านคน บริจาคคนละ 10 บาท จะได้เงิน 700 ล้าหลาก คลื่นคนทุกเพศทุกวัยเป็นกำลังใจและร่วมมอบเงินอย่างล้นหลาม เพียงแค่ครึ่งทางยอดบริจาคก็ทะลุเป้า 700 ล้าน กว่าจะถึงจุดหมาย อ.แม่สาย ยอด 1,000 ล้าน ไม่ใช่เรื่องยาก

 

แก๊ง‘เปรี้ยว’ฆ่าหั่นศพ

วันที่ 25 พ.ค. ชาวบ้านโนนสง่า ม.9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น พบศพสาวถูกฆ่าหั่นศพ ฝังดิน ตำรวจสืบสวนจนทราบว่าผู้ตายคือ น.ส.วาริสรา กลิ่นจุ้ย หรือ แอ๋ม อายุ 23 ปี ทำงานร้านคาราโอเกะในจ.ขอนแก่น

เจ้าหน้าที่สอบผู้ใกล้ชิดผู้ตายหลายคน ก่อนรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับ น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว, น.ส.กวิตา ราชดา หรือ เอิร์น, น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต หรือ แจ้, น.ส.จิดารัตน์ พรหมคุณ หรือ เบนซ์ และ นายวศิน นามพรม วันที่ 30 พ.ค.จับกุมนายวศินได้ที่ประเทศลาว นายวศินซัดทอดน.ส.เปรี้ยว เป็นผู้ลงมือฆ่าและทำลายศพ โดยน.ส.เปรี้ยวอ้างว่าแอ๋มเป็นสายชี้เป้าตำรวจมาจับกุมคดียาเสพติด

ต่อมาตำรวจตามจับน.ส.เบนซ์ได้ที่จ.อุบลฯ สอบสวนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฆ่าหั่นศพ วันเกิดเหตุอยู่กรุงเทพฯ แต่ยอมรับว่าเป็นแฟนนายวศิน เกี่ยวข้องกับคดีเพราะนำทรัพย์สินผู้ตายไปขาย

วันที่ 4 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ประเทศเมียนมา นำตัวน.ส.เปรี้ยว, น.ส.เอิร์น และน.ส.แจ้ ที่หลบหนีไปฝั่งเมียนมาส่งให้ตำรวจไทย ดำเนินคดี วันที่ 22 ส.ค. อัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดขอนแก่น ศาลรับฟ้องน.ส.เปรี้ยว, น.ส.เอิร์น, น.ส.แจ้ง และนายวศิน ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ, ร่วมกันลักทรัพย์, ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว และร่วมกันพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ขณะที่น.ส.เบนซ์ถูกตั้งข้อกล่าวหาเพียงร่วมกันลักทรัพย์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาชั้นศาล

ผู้ต้องหาคนสำคัญโดยเฉพาะน.ส.เปรี้ยวยังถูกควบคุมในเรือนจำ

 

‘น้องเมย’ดับในร.ร.เตรียมทหาร

นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ เมย นักเรียนชั้นปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมทหาร เสียชีวิตวันที่ 17 ต.ค. ใบมรณบัตรระบุสาเหตุ เกิดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน แต่ครอบครัวคลางแคลงใจร้องขอความเป็นธรรม เพราะเชื่อว่าถูกซ่อมจนสิ้นใจ

พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทสส. สั่งย้ายผบ.กรมนักเรียน และผบ.พันกรมนักเรียน ร.ร.เตรียมทหาร พร้อมตั้งกรรมการสอบสวน โดยมี พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร เป็นประธาน

นายพิเชษฐ ตัญกาญจน์ พ่อน้องเมยและครอบครัวเปิดแถลง ระบุในวันฌาปนกิจน้องเมย ได้แอบนำศพออกมาก่อนแล้ว เพื่อส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งหาสาเหตุการตายแท้จริง

แพทย์ที่ชันสูตรพบเรื่องพิศวง อวัยวะภายในทั้งตับ ไต กระเพาะอาหาร และสมองหายไป กะโหลกศีรษะมีทิชชูยัดไว้แทน ยังพบกระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 หัก มีรอยช้ำในช่องท้องด้านขวาขนาดเท่ากำปั้น ด้านหลังภายในซีกซ้ายมีรอยช้ำ ไหปลาร้าหักทั้ง 2 ข้าง แพทย์ระบุสาเหตุที่ซี่โครงหักไม่น่าเกิดจากปั๊มหัวใจ คาดว่าน่าจะเกิดการกระแทกที่รุนแรง

นางสุกัลยา ตัญกาญจน์ แม่น้องเมย ตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนเสียชีวิต 2 เดือนน้องเมยถูกซ่อมวินัย โดยให้เอาหัวปักลงพื้น ห้องน้ำนายทหารที่เป็นเหล็กตะแกรง กระทั่งเกิดอาการช็อก เพราะเลือดตกที่หัวและความดันต่ำ จนหัวใจหยุดเต้นต้องปั๊มหัวใจฟื้นขึ้นมา ครั้งนั้นไม่ได้ติดใจเอาความ แต่ครั้งนี้ถึงขั้นเสียชีวิต จึงต้องสอบถามความจริง

วันที่ 15 ธ.ค. พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร ประธานกรรมการสอบสวน แถลงว่า จากพยานหลักฐานสรุปได้ว่า การเสียชีวิตของนตท.ภคพงศ์ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษหรือทำร้าย และจากการตรวจของสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า

สรุปภาพรวมได้ว่า ไม่พบร่องรอยการฟกช้ำภายนอก กรณีชายโครงด้านขวา ซี่ที่ 4 หักนั้น แพทย์ไม่ได้ตัดประเด็นการทำ ซีพีอาร์ ที่ต้องใช้แรงกดกึ่งกระแทก นานถึง 4 ช.ม. และพบเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนมีขนาดผิดปกติ ซึ่งจะไม่พบในคนอายุประมาณ 18 ปี

จึงสรุปสาเหตุการเสียชีวิตของนตท. ภคพงศ์ว่า เกิดจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

กรณีน้องเมยไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อพ.ศ.2550 นตท.กรัณฑ์ อรชร นักเรียนเตรียมทหาร ชั้นปีที่ 2 เสียชีวิต จากการถูกรุ่นพี่ปี 3 จำนวน 6 คน ลงโทษซ่อม หรือการธำรงวินัย ตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตี 4 สั่งวิดพื้นและบังคับดื่มน้ำถึง 40 ลิตร กระทั่งร่างกายทนไม่ไหวเสียชีวิต พ.ต.อ.ณธีพัฒน์ อังครพงศ์ธิติ ผกก.สส.2 บก.สส.ภ.5 พ่อของนตท.กรัณฑ์ฟ้องร้องต่อศาล สู้คดีเกือบ 4 ปี สุดท้ายต้องขึ้นศาลขอปิดคดี เพราะสงสารภรรยาและลูกชายอีกคนที่เป็นนายทหาร ไม่ต้องการให้รับรู้ว่าลูกชายถูกกระทำอะไรจนเสียชีวิต

 

ปิดล้อมธรรมกาย-ล่าธัมมชโย

 

วันที่ 16 ก.พ. หัวหน้าคสช.ใช้มาตรา 44 ประกาศให้วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี และพื้นที่โดยรอบเป็น“พื้นที่ควบคุม” ให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) รับผิดชอบนำตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำนวน 1,400 ล้านบาท มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหลังอัยการสั่งฟ้อง

กองกำลังผสมดีเอสไอ-ตำรวจ-ทหาร-ฝ่ายปกครอง รวมกว่า 4 พันนาย ปิดล้อมวัดพระธรรมกาย ออกคำสั่งให้พระ เณร ฆราวาสทุกคนออกจากวัด ขณะที่ทางวัดสร้างป้อมปราการตั้งรับจนเกิดการเผชิญหน้าและปะทะกันเป็นระยะๆ

อธิบดีดีเอสไอประกาศดำเนินคดีพระ 13 รูปที่ไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง พระจำนวนหนึ่งอดข้าวประท้วง แต่แล้ววันที่ 10 มี.ค.อธิบดีดีเอสไอแถลงว่าเตรียมเสนอยกเลิกประกาศพื้นที่ควบคุมตามมาตรา 44 หลังจากปิดล้อมมาตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. รวมทั้งหมด 23 วัน

โดยไม่พบแม้เงาของพระธัมมชโย

 

รวบ‘ไซซะนะ’ราชายาบ้า

5 โมงเย็นวันที่ 19 ม.ค. พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส. นำชุดปฏิบัติการพิเศษชาร์จจับ นายไซซะนะ แก้วพิมพา อายุ 41 ปี ชาวลาว ซึ่งนั่งเครื่องบินจากจ.ภูเก็ตมายังสนามบินสุวรรณภูมิ โดยนายไซซะนะเป็นตัวการใหญ่ลอบนำยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน เข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยกระจายสู่ภาคต่างๆ และชายแดนภาคใต้

รวมทั้งส่งออกไปยังประเทศย่านอาเซียน นายไซซะนะมีชื่อเสียงโด่งดังในลาว ชอบแต่งตัวหรู อวดทรัพย์สิน คฤหาสน์ใหญ่โต รถยนต์ราคาแพง เจ้าหน้าที่ปส.ร่วมกับป.ป.ส.และปปง.ขยายผลเพื่อยึดทรัพย์ทั้งในและนอกประเทศ

วันที่ 12 มี.ค.อัยการยื่นฟ้องนายไซซะนะที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำต่อศาลอาญา นายไซซะนะแถลงยืนยันปฏิเสธข้อหา ศาลนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 13 ก.พ.2561

 

‘ยิ่งลักษณ์’หายตัว-ศาลจำคุก

วันที่ 25 ส.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาฟังคำพิพากษาคดีไม่ระงับยับยั้งโครงการจำนำข้าว แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มาตามนัด ระบุมีอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน จากนั้นศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษาลับหลังในวันที่ 27 ก.ย.

โดยพิพากษาให้จำคุกน.ส.ยิ่งลักษณ์ 5 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมกับให้ออกหมายนำตัวมาดำเนินคดี ต่อมาตำรวจขยายผลเอาผิดนายตำรวจระดับรองผบก.และพวก หลังพบข้อมูลเบาะแสพาน.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นรถจากกทม.ช่วงเย็นวันที่ 23 ส.ค. ไปยังชายแดนด้านอ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีการเอาผิดกับนายตำรวจกลุ่มนี้ทั้งทางวินัยและอาญา

ขณะที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นับตั้งแต่โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 24 ส.ค.

 

‘จอมทรัพย์’จากครูแพะสู่ครูแกะ

วันที่ 9 ม.ค. นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร เข้าขอบคุณ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่ช่วยเหลือรื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ คดีขับรถชน นายเหลือ พ่อบำรุง เสียชีวิตที่จ.นครพนม ซึ่งศาลฎีกาจำคุก 3 ปี 2 เดือน ก่อนได้รับอภัยโทษ รวมถูกจำคุก 1 ปี 6 เดือน

ทำให้ถูกไล่ออกจากครู จึงต้องการรื้อคดีเพื่อกลับเข้ารับราชการ พ.ต.อ.ดุษฎีสั่งดีเอสไอไปดำเนินการ ได้พบนายสับ วาปี ที่อ้างเป็นคนขับรถชนคนตาย พร้อมพยานหญิง 2 คน เชื่อว่าสามารถใช้เป็นหลักฐานรื้อคดีได้

ขณะที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. สั่งการ พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติขณะนั้นไปคุมคดีให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม พบว่ามีแก๊งขบวนการรับจ้างติดคุกแทน เจอพิรุธหลายประเด็น ตั้งแต่ครู จอมทรัพย์พ้นโทษมีคนรับเป็นคนขับรถชนแทนถึง 2 คน รถที่นายสับอ้างถึงก็เป็นหมวดจังหวัดมุกดาหารของ นายอุบล ไชยบัน ที่ซื้อจาก นายนิรันดร์ ทูนแก้ว เพื่อนนายสับ

วันที่ 17 พ.ย.ศาลฎีกายกคำร้องขอรื้อฟื้นคดี พร้อมสรุปสาเหตุที่ยกคำร้อง ประเด็นแรกพยานหลักฐานที่นางจอมทรัพย์นำสืบช่วงวันที่ 8-10 ก.พ.2560 โดยอ้างนายสับยอมรับเป็นคนขับรถชนแทนจนกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับรื้อฟื้นคดี แต่หลังจากศาลรับรื้อฟื้นคดี ในวันสืบพยานฝ่ายผู้ร้องกลับไม่นำตัวนายสับขึ้นเบิกความชั้นศาล ขณะที่พยานผู้หญิงที่อ้างเห็นเหตุการณ์มีลักษณะไม่น่าเชื่อถือ

ภายหลังศาลฎีกายกคำร้องรื้อคดี ตำรวจนครพนมดำเนินคดีนายสับ วาปี, นายบุญเทิง วาปี, นายเลิศ วาปี พี่ชายนายสับ, นางจันทร์ วาปี ภรรยานายสับ, นางจอมทรัพย์, นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร สามีนางจอมทรัพย์ และนายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง อายุ 54 ปี เพื่อนครูจอมทรัพย์ ข้อหาให้การเท็จ นายสับเข้ามอบตัวยอมรับไม่ได้ขับรถชนคนตาย แต่ครูอ๋องว่าจ้าง 4 แสนบาทแลกกับรับผิดแทน

แต่ยังไม่ได้สักบาท วันที่ 26 พ.ย. ตำรวจตามจับครูอ๋องได้ที่กทม. ตั้งข้อหาให้การเท็จและซ่องโจร ครูอ๋องรับสารภาพ จ้างนายสับรับผิดแทนนางจอมทรัพย์จริง วันที่ 27 พ.ย.ตำรวจคุมตัวนางจอมทรัพย์ส่งฝากขังศาลระหว่างพิจารณาคดี

นางจอมทรัพย์กลับเข้าเรือนจำอีกรอบ

 

จับ‘ซินแสโชกุน’ตุ๋นทัวร์ญี่ปุ่น

คํ่าวันที่ 11 เม.ย. กลุ่มผู้โดยสารนับพันคน รวมตัวบริเวณประตู 1-2 อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องจากซื้อทริปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นแบบเหมาลำ กับบริษัทขายอาหารเสริม เวลท์เอเวอร์ จำกัด ราคา 9,730-20,000 บาท ลักษณะแชร์ลูกโซ่

แต่เมื่อมาถึงกลับไม่มีเที่ยวบิน ต่อมาวันที่ 12 เม.ย.ตำรวจตามจับน.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือ ซินแสโชกุน อายุ 30 ปี ตัวการสำคัญได้พร้อมแฟนสาวและพวกอีก 2 คน ขณะขับรถหนีมาที่ น้ำพุร้อน จ.ระนอง สอบสวนเบื้องต้นซินแสโชกุน ปฏิเสธขายทัวร์ อ้างว่าจำหน่ายเพียงอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ในราคาสมาชิกคนละ 9,730 บาท การขายทัวร์มีบุคคลอื่นแอบอ้าง

จากการตรวจสอบประวัติพบว่าซินแสโชกุน ถูกศาลออกหมายจับคดีฉ้อโกงมาแล้ว 3 ครั้ง วันที่ 7 ก.ค.ศาลอาญานัดสอบคำให้การจำเลย คือ บริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด และซินแสโชกุน กรรมการบริษัท กับพวกรวม 10 คน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และซ่องโจร ให้ชดใช้เงินผู้เสียหายรวม 871 คน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จำเลยทั้ง 10 แถลงปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลนัดพิจารณาคดีต่อไป

 

ทหาร‘วิ’เยาวชนลาหู่

วันที่ 17 มี.ค. ทหารกระทำวิสามัญฆาตกรรม นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมสังคม และประธานเครือข่ายเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมือง บริเวณด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ระบุว่าตรวจพบยาเสพติดในรถที่นายชัยภูมินั่งมากับเพื่อนที่เป็นคนขับ

นายชัยภูมิหลบหนีและใช้อาวุธต่อสู้ขัดขืน เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องวิสามัญฯ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจแก่นักกิจกรรมทางสังคม เครือข่ายเด็กและเยาวชน และองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากนายชัยภูมิซึ่งมีเชื้อสายลาหู่ เป็นเด็กเรียบร้อย ไม่ชอบความรุนแรง เสียสละทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวม ต่อสู้เรียกร้องสิทธิให้ผู้ด้อยโอกาสมาตลอด

การที่ทหาร วิสามัญฯเยาวชนอย่างนายชัยภูมิถือว่ากระทำเกินกว่าเหตุ ต่อมากองทัพภาคที่ 3 ระบุมี ภาพวงจรปิดเป็นหลักฐานพร้อมส่งให้พนักงานสอบสวน แต่ผ่านไปจนหมดปี 2560 คดีวิสามัญฯเยาวชนลาหู่รายนี้ ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

 

วางบึ้มร.พ.พระมงกุฎฯ

 

เช้าวันที่ 22 พ.ค.คนร้ายนำระเบิด “ไปป์บอมบ์” แรงกดดันต่ำ น้ำหนักระเบิด 1 ปอนด์ ใช้ตะปูและเศษเหล็กเป็นสะเก็ดระเบิด ซ่อนในแจกันดอกไม้ไปวางไว้ข้างผนังเคาน์เตอร์หน้าห้องวงษ์สุวรรณ ชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ร.พ.พระมงกุฎฯ ตั้งเวลาระเบิด 10 โมง ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 25 ราย เป็นทหาร 15 ราย และพลเรือนอีก 10 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต

วันที่ 15 มิ.ย.เจ้าหน้าที่คุมตัว นายวัฒนา ภุมเรศ อายุ 62 ปี อดีตวิศวกรไฟฟ้า กฟผ. ผู้ต้องสงสัยวางระเบิดเข้าสอบเค้นในมทบ.11 ก่อนส่งต่อให้ตำรวจดำเนินคดีและส่งฟ้องต่อศาล

วันที่ 6 ธ.ค.ศาลอาญา พิพากษาจำคุกนายวัฒนา ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำนวน 26 ปี 12 เดือน และปรับ 500 บาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน