แนวคิดที่เสนอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. แก้ไขประกาศกำหนดวงเงินห้ามเจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการรับและให้ทรัพย์หรือประโยชน์อื่นใดมูลค่าเกิน 3,000 บาทนั้นมีเหตุผลประกอบมาว่า วงเงินดังกล่าวกำหนดอยู่ในประกาศ ป.ป.ช.ปี 2542 ซึ่งล่วงเวลามานานแล้ว จึงน่าจะขยับให้เป็นไปตามค่าครองชีพปัจจุบัน
กลายเป็นแนวทางที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าควรจะต้องแก้ไขหรือไม่
เพราะหากเป็นไปตามค่าครองชีพปัจจุบัน หมายความว่าวงเงินน่าจะสูงขึ้น
แต่การที่วงเงินสูงขึ้นเป็นประโยชน์หรือโทษต่อกฎระเบียบที่ตั้งไว้อย่างไร น่าจะหาคำตอบได้ไม่ยากเย็นนัก
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) แสดงความเห็นว่า แนวทางดังกล่าวจะสวนทางกับความต้องการให้ข้าราชการหลีกเลี่ยงการรับสิ่งของจากบุคคลอื่นนอกเหนือจากผลประโยชน์จากรัฐบาล
อีกทั้งยังเป็นแนวทางที่ไปคนละทิศทางเมื่อเทียบกับนานาประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกากำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐรับสิ่งของที่มีมูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000 กว่าบาท
หากประเทศไทยเดินหน้าปรับจำนวนเงินตามค่าครองชีพ อาจทำให้เกิดช่องโหว่อย่างมากที่เอื้อต่อการเรียกรับผลประโยชน์มากขึ้นในอนาคต
ดังนั้นเพื่อป้องกันความคลางแคลงใจในเรื่องความบริสุทธิ์ จึงควรทำให้ข้าราชการตระหนักเสมอว่าอะไรที่ตัวเองมีสิทธิพึงได้รับ
เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าการกำหนดวงเงิน
นอกจากหลักการหลีกเลี่ยงการรับผลประโยชน์แล้ว สิ่งที่ป.ป.ช.รวมถึงคณะ ผู้ทำงานด้านกฎหมายต้องตระหนักให้รอบคอบคือการแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ที่เพิ่มอำนาจให้หน่วยงานราชการตรวจสอบและให้อนุญาตกับประชาชนในการดำเนินธุรกิจ
เพราะอาจเสี่ยงเป็นช่องทางของการเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ด้วยข้ออ้างว่าเป็นค่าอำนวยความสะดวก
หนทางการป้องกันการทุจริตนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่ต้องรับฟังความเห็นและประสบการณ์จากประชาชน
การคิดแก้ไขกฎระเบียบโดยไม่ได้มาจากข้อเรียกร้องของประชาชนนั้นเสี่ยงที่จะถูกมองว่า ทำเพื่อคณะบุคคลและไม่เป็นผลดีต่อการต่อต้านการคอร์รัปชั่น