บทบรรณาธิการ
ชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 สร้างความประหลาดใจไปทั่วโลก
เพราะคะแนนที่ชาวอเมริกันไปใช้สิทธินั้น แตกต่างจากผลสำรวจจากหลายๆ สถาบัน รวมถึงสื่อมวลชนที่เคยออกมาว่า นางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งเป็นฝ่ายเหนือกว่า
รวมทั้งต่างจากการคาดคะเนของนักวิเคราะห์ นักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ ที่เห็นว่าชาวอเมริกันน่าจะเลือกผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองสูง ส่งเสริมความหลากหลายทางสังคม และอาจเปิดโอกาสให้ผู้หญิงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศครั้งแรกในประวัติศาสตร์สองร้อยกว่าปีของอเมริกา
แต่ขณะนี้ผลออกมาชัดเจนว่า นายทรัมป์ผู้นำเสนอนโยบายเอียงขวา หรืออนุรักษนิยม พร้อมคำขวัญนำอเมริกากลับมายิ่งใหญ่ เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
กระแสความนิยมในแนวการเมืองฝ่ายขวา ที่ผุดขึ้นในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ปรากฏเด่นชัดในการลงประชามติของสหราชอาณาจักรให้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป หรือเบร็กซิต
กระทั่งมาถึงผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐอเมริกาที่ตอกย้ำอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
กระแสดังกล่าวนี้สะท้อนถึงความหวาดหวั่นของผู้คนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต ต้อง สูญเสียสถานะอันได้เปรียบทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงในชีวิต
โดยมีแรงกระตุ้นใหญ่มาจากการเคลื่อนย้ายของประชากรในประเทศเกิดสงครามและความยากจน สู่ประเทศที่มีความมั่งคั่งและปลอดภัย
บวกกับสถานการณ์ก่อการร้ายที่เพิ่มความหวาดกลัวมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งผู้นำของอเมริกาในครั้งนี้ ยังคงตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำในโลกประชาธิปไตยของสหรัฐ ซึ่งยึดเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในช่วงเวลานั้นๆ
เสียงส่วนใหญ่ดังกล่าวนั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่มีพรรคใด หรือกลุ่มการเมืองใดจะชนะไปตลอดกาล
จึงเป็นหน้าที่ของนักการเมืองที่จะนำเสนอนโยบายที่มัดใจประชาชนให้ได้มากที่สุด แม้ว่า สิ่งที่นำเสนอนั้นอาจบกพร่องและไม่ได้เป็นไปอย่างที่น่าจะเป็น
แต่สุดท้ายแล้วประชาชนต้องเป็นฝ่ายที่ตัดสินใจและแก้ไขเอง มิใช่เรียกอัศวินฮีโร่ใดๆ เข้ามาแทรกแซง