สัมผัสการเปิดตัวของ “พรรคอนาคตใหม่” เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม กับการเปิดตัวของ “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” ในวันที่ 3 มิถุนายน แล้ว

สรุปได้เลยถึงแนวโน้ม “ใหม่” ในทางการเมือง

ตรงนี้ต้องยอมรับอย่างไม่เหนียมอายว่าเป็นเพราะผลสะเทือนจากการริเริ่มอย่างสร้างสรรค์โดยพรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม เป็นต้นมา

แต่อีกจุดหนึ่งที่ยากจะปัดปฏิเสธอย่างเย็นชา คือ การเปลี่ยนแปลง

นับแต่นี้เป็นต้นไปจะยากเป็นอย่างยิ่งที่จะเล่นบท “อีแอบ” ในทางการเมือง จำเป็นต้องเปิดหน้าออกมาจะ-จะ

เหมือนที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ทำลงไป

คล้ายกับว่าการแสดงบทของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในที่ประชุมศาลาดนตรีสุริยเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต จะไม่แตกต่างไปจากที่เคยประกาศจัดตั้งกปปส.เมื่อเดือนมกราคม 2557

เพียงแต่ตอนนั้นมี นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นหมายเลข 1

ขณะที่ในวันที่ 3 มิถุนายน มี นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ดำรงอยู่ในสถานะ “ว่าที่” หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย

นั่นก็คือ ยังมีการชัก การเชิด “คนอื่น” ขึ้น “นำหน้า”

แต่หากไปดูในความเป็นจริง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ไม่เคยปิดบังอำพราง สถานะและความเป็นจริงของตนเอง

ความจริงที่เขาเป็นหมายเลข 1 แม้ไม่มี “ตำแหน่ง”

หากไม่อยู่ในสถานะอันเป็นหมายเลข 1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คงไม่ดำรงอยู่ในจุดอันเป็นประธานคณะทำงานรณรงค์เชิญชวนประชาชนให้มาร่วมเป็นเจ้าของพรรค

มองในแง่การทหาร นี่คือ จุดชี้ขาด “กำลัง”

เพราะว่าดำรงอยู่ในจุดอันชี้ขาดกำลังของพรรคว่าจะพัฒนาเติบใหญ่ไปได้อย่างไร นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จึงจำเป็นต้อง “ลงทุน” อย่างใหญ่หลวง

นั่นก็คือ เล่นบท “ตระบัดสัตย์” อันเป็นสิ่งที่คนไทยถือ

เป็นการเปล่งคำตระบัดสัตย์พร้อมกับการหลั่งน้ำตาออกมาว่าเจ็บปวดและมีความจำเป็นมากเพียงใดที่ต้องทำเช่นนี้

เจ็บปวดแต่ก็ยินยอมกลืนเลือด กลืนคำ

บทอย่างนี้ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เล่นไม่เป็นและเล่นไม่ได้ อย่างเก่งเขาถึงเป็นหัวหน้าพรรคและเข้าบริหารจัดการโรงเรียนการเมืองของพรรค

นั่นก็คือ ยังเล่นบทครู เล่นบทนักวิชาการ

การเล่นบท “ตระบัดสัตย์” ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จึงเป็นการท้าทายและทดสอบอุณหภูมิทางการเมืองอย่างแหลมคมยิ่ง

หากผ่านไปได้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็รุ่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน